ชนิดยาฝังคุมกำเนิด
ชนิดยาฝังคุมกำเนิด มี 2 ชนิด
- ชนิดสลายตัว (biodegradable) เมื่อฝังหลอดบรรจุยาเข้าไปในร่างกายแล้ว ฮอร์โมนจะกระจายสู่กระแสเลือด และหลอดยาจะค่อย ๆ สลายตัวไปเมื่อครบอายุการใช้งาน โดยไม่ต้องเอาออกปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย
- ชนิดไม่สลายตัว (non-biodegradable) ฮอร์โมนที่บรรจุอยู่ในหลอดบรรจุยา (capsule) เมื่อฝังเข้าไปในร่างกายจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดเหมือนชนิดสลายตัว แต่เมื่อครบอายุการใช้งานแล้ว จะต้องถอดหลอดยาออกจากร่างกาย ปัจจุบันมีใช้ 3 แบบ คือ
- ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 6 หลอด ชื่อการค้า Norplant R ภายหลังฝังยาระดับฮอร์โมนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วค่อย ๆ ลดลงภายในหนึ่งเดือน และจะอยู่ในระดับคงที่เมื่อใช้นาน 5 – 7 ปีขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้รับบริการ ประสิทธิผลจะลดลงในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และภายหลังถอดยาฝังออก ฮอร์โมนจะหมดไปภายใน 1 สัปดาห์
- ยาฝังคุมกำเนิด ชนิด 2 แท่ง ชื่อการค้าว่า Jadelle R ใช้ได้นาน 5 ปี
- ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 1 แท่ง ชนิดที่มีใช้ในประเทศไทยมีชื่อการค้าว่า อีโตแพลน (Etoplan R) หรืออิมพลานอน (Implanon R) ประกอบด้วย ฮอร์โมนสังเคราะห์โปรเจสโตเจน ชื่อ อีโทโนเจสตรีล (etonogestrel หรือ ETG) ยาฝังคุมกำเนิดชนิดนี้สะดวก และใช้เวลาน้อยในการฝังและถอด และลดปัญหาการติดเชื้อ สามารถระงับการตกไข่ได้ดีแต่ไม่รบกวน หรือยับยั้งการทำงานส่วนอื่น ๆ ของรังไข่ สามารถยับยั้งการตกไข่ได้ภายใน 1 วัน และออกฤทธิ์นานถึง 3 ปี หลังถอดแท่งยาออกจะมีภาวการณ์ตกไข่เกิดขึ้นกายใน 3 สัปดาห์ จึงสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ
ข้อห้ามในการใช้ยาฝังคุมกำเนิด
ข้อห้ามโดยเด็ดขาดในการใช้ยาฝังคุมกำเนิด (absolute contraindication) หรือ WHO eligibility criteria category 4(6)
- ตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าจะตั้งครรภ์
- เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- สงสัยหรือเป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์รวมทั้งเต้ามนม
- มะเร็งเต้านม
- มีข้อห้ามในการใช้โปรเจสโตเจน หรือมีเนื้องอกที่สัมพันธ์กับการใช้โปรเจสโตเจน
- มีปฏิกิริยาไวต่อส่วนประกอบของแท่งหรือหลอดบรรจุฮอร์โมน
ข้อควรระมัดระวังในการใช้ยาฝังคุมกำเนิด หรือ WHO eligibility criteria category 3(6)
- เคยเป็นโรคหัวใจ เช่น myocardial infarction และโรคหลอดเลือด เช่น deep vein thrombosis
- เป็นสิวอย่างรุนแรง
- ความดันโลหิตสูงในระดับที่ควบคุมไม่ได้
- เบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
- กำลังเป็นตับอักเสบ หรือโรคตับแข็ง
- เนื้องอกหรือมะเร็งตับ
- เป็น migraine
- อาการซึมเศร้ารุนแรง (ยาที่ใช้รักษาอาจจะมีปฏิกิริยากับยาฝังคุมกำเนิด)
- สตรีที่รับการฝังยาคุมกำเนิด ควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยระหว่างที่มีการใช้ยาที่มีปฏิกิริยากับยาฝังคุมกำเนิด (drug interaction) และหลังการใช้ยาอีก 7 วัน
อาการข้างเคียงในการใช้ยาฝังคุมกำเนิดและอาการในการใช้ยาฝังคุมกำเนิดที่ต้องกลับมาพบแพทย์
อาการข้างเคียงในการใช้ยาฝังคุมกำเนิด
ผู้ที่ฝังยาคุมกำเนิด อาจจะมีเลือดออกทางช่องคลอดคล้ายยาฉีดคุมกำเนิด ได้แก่ อาการผิดปกติของเลือดประจำเดือน และอาการผิดปกติอื่น ๆ
- อาการเลือดออกทางช่องคลอด เป็นอาการข้างเคียงจากการใช้ยาคุมกำเนิดที่มีแต่ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน และเป็นอาการที่พบได้บ่อย ผู้ที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดอาจจะมีเลือดออกทางช่องคลอด โดยเฉพาะในเดือนแรกที่ฝังยา และจะค่อย ๆ น้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป อาการผิดปกติของประจำเดือน แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่
- ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ มากหรือนานกว่าปกติ
- เลือดออกกะปริดกะปรอย
- ไม่มีประจำเดือน
- อาการข้างเคียงอื่น ๆ
- อาการผิดปกติบริเวณที่ฝังยาคุมกำเนิด ได้แก่ ปวด อักเสบ บวม ฟกช้ำ การหลุดหรือคลำพบหลอดยาฝังคุมกำเนิดบริเวณที่ฝังยา
- อาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น
- ปวดศีรษะ
- น้ำหนักตัวเพิ่ม
- การเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิต
- สิว และอาจมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ของผิวหนัง
- อาการอื่น ๆ ที่พบได้น้อย เช่น การคัดตึงเต้านม แน่น อึดอัด คลื่นไส้ วิงเวียนและอารมณ์แปรเปลี่ยน
อาการที่ต้องกลับมาพบแพทย์
- หลังฝังยาแล้วมีอาการปวด อักเสบ หรือมีก้อนเลือด หรือรอยฟกช้ำมากผิดปกติ
- หลอดยาหลุด
- ถ้ามีเลือดออกทางช่องคลอดมาก หรือนานผิดปกติ แนะนำให้มาตรวจหาความผิดปกติถ้าไม่พบ อาจพิจารณาให้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง
- วิตกกังวลมาก อาจจะพิจารณาให้ยาคลายความกังวล
- ปวดศีรษะมาก หรือปวดศีรษะไมเกรนร่วมกับการมีอาการทางระบบสมอง เช่น ตามัว มองไม่เห็นเป็นช่วง ๆ พูดไม่ชัด
- หิวน้ำบ่อย และน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น
- เป็นสิวรุนแรงมาก
- ปวดท้องน้อย ซึ่งต้องวินิจฉัยแยกโรค หาสาเหตุว่า เกิดจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก ไส้ติ่งอักเสบ ถุงน้ำรังไข่ หรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ
เวลาที่เหมาะสมสำหรับการฝังยาคุมกำเนิด
- ควรฝังยาคุมกำเนิดระหว่างวันที่ 1 – 7 ของรอบประจำเดือน เพื่อจะได้แน่ใจว่าไม่ตั้งครรภ์
- หลังคลอดบุตร
- ฝังยาคุมกำเนิดในช่วงหลังคลอด 4 – 6 สัปดาห์ จะดีที่สุด
- อาจฝังยาคุมกำเนิดทันทีหลังคลอด
- หลังแท้งบุตรขณะอายุครรภ์ 1 – 3 เดือน ควรฝังยาคุมกำเนิดทันที และไม่จำเป็นต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย หรืออาจฝังยาเมื่อมาตรวจหลังแท้ง 1 – 3 สัปดาห์ก็ได้ ถ้าไม่มีเพศสัมพันธ์มาตั้งแต่หลังแท้ง
- กรณีเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิดจากยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ควรฝังยาฉีดคุมกำเนิดในวันถัดจากวันที่รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเม็ดที่มีฮอร์โมนเม็ดสุดท้าย แต่หากไม่สะดวกที่จะฝังยาตามกำหนดวันดังกล่าว สามารถฝังยาในช่วงที่ผู้รับบริการยังรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่ก็ได้ โดยแนะนำให้รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดต่อจนหมดแผง
- กรณีที่เปลี่ยนจากยาฉีดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนอย่างเดียว ให้ฝังยาในวันที่ครบกำหนดฉีดยาคุมกำเนิดได้เลย หรือฝังยาก่อนวันครบกำหนดฉีดยาคุมกำเนิดเข็มต่อไปก็ได้
- กรณีที่ผู้รับบริการฝังยาคุมกำเนิดครบกำหนดที่ต้องถอดออก และต้องการฝังยาต่ออีกให้ฝังยาในวันที่ถอดยาฝังออกได้เลย
- กรณีใส่ห่วงอนามัย สามารถฝังยาคุมกำเนิดในวันที่ 1 – 7 ของรอบประจำเดือนแล้วถอดห่วงออกได้เลย หรือฝังยาวันใดก็ได้และถอดห่วงออก แต่แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันแรกหลังฝังยา
ขอบคุณที่มาบทความ เรื่อง เพศศึกษาและการวางแผนครอบครัว โดยอาจารย์จิตตรัตน์ ตันเสนีย์ จาก http://www.libarts.mju.ac.th/LibDocument/EBook/013/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%208%20%20%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7.pdf