ชนิดของยาฉีดคุมกำเนิด
ชนิดของยาฉีดคุมกำเนิด เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ มี 2 ชนิด คือ
- ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนรวม ประกอบด้วย โปรเจสโตเจน และฮอร์โมนเอสโตรเจน ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนรวม จะใช้คุมกำเนิดได้นาน 1 เดือน แต่ไม่ค่อยจะได้รับความนิยม เพราะจะต้องฉีดบ่อยทุกเดือน
- ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนอย่างเดียว แบ่งเป็น
- Norethisterone enanthate (NET-EN) เป็นอนุพันธ์ของ 19-nortestosterone ขนาด 200 มิลลิกรัม ละลายในน้ำมัน บรรจุในหลอดขนาด 1 มิลลิลิตร ฉีดเข้ากล้ามเนื้อใช้คุมกำเนิดได้นาน 2 เดือน เดิมยาฉีดคุมกำเนิดชนิดนี้เคยใช้อยู่ในโครงการวางแผนนครอบครัวแห่งชาติ แต่ไม่ได้รับความนิยม
- Depot medroxy progesterone acetate (DMPA) เป็นอนุพันธ์สังเคราะห์ของ 17-hydroxy progesterone มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวขนาดเล็ก ละลายตกตะกอน ขนาด 150 มิลลิกรัม บรรจุในขวดขนาด 3 มิลลิลิตร ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพก ยาจะดูดซึมช้า ๆ เข้ากระแสเลือด ใช้คุมกำเนิดได้นาน 3 เดือน
การใช้ยาฉีดคุมกำเนิด
- การใช้ยาฉีดคุมกำเนิด ควรจะฉีดยาคุมกำเนิดเข็มแรกภายใน 5 – 7 วันแรกของรอบประจำเดือน ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาฉีดคุมกำเนิดภายหลังวันที่ 7 ของรอบประจำเดือน ควรงดการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยางอนามัยไปอีก 1 สัปดาห์หลังจากฉีดยา
- ถ้าสตรีนั้นมีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือจำรอบประจำเดือนตนเองไม่ได้ หรือหลังคลอดแล้ว 6 เดือน ประจำเดือนยังไม่มา แต่ยังต้องการคุมกำเนิดชนิดฉีด ควรตรวจก่อนว่า มีการตั้งครรภ์หรือไม่ ถ้าสตรีไม่มีการตั้งครรภ์ก็สามารถรับการฉีดยาคุมกำเนิดได้ โดยสตรีจะต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางอนามัยไปอีก 1 สัปดาห์ หลังจากฉีดยาคุมแล้ว มารดาหลังคลอดลูกน้อยกว่า 6 เดือน ให้นมบุตรและยังไม่มีประจำเดือน สามารถจะใช้ยาฉีดคุมชนิดนี้ได้เลย แต่ถ้าสตรีมีประจำเดือนแล้วควรเริ่มเข็มแรกไม่เกิน 7 วันของรอบประจำเดือน
- สตรีที่ใช้วิธีคุมกำเนิดฮอร์โมนอยู่ เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด แผ่นแปะผิวหนังคุมกำเนิดหรือห่วงอนามัยชนิดที่มีฮอร์โมน สามารถเปลี่ยนมาใช้ยาฉีดคุมกำเนิดได้ทันที โดยไม่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดชนิดอื่นอีก 7 วัน
- สตรีที่ใช้วิธีคุมกำเนิดที่ไม่ใช่ฮอร์โมน เช่น ห่วงอนามัย หรือถุงยางอนามัย สามารถเปลี่ยนมาใช้วิถีคุมกำเนิดชนิดฉีดได้ ถ้าแน่ใจว่า ไม่ตั้งครรภ์และอยู่ในช่วง 7 วันของรอบประจำเดือนและสามารถถอดห่วงได้ในช่วงนั้น ถ้าเกินวันที่ 7 ของรอบประจำเดือนก็ฉีดยาได้ โดยต้องงดการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยางอนามัยไปอีก 7 วันหลังจากฉีดยาแล้ว และสามารถถอดห่วงได้ในรอบประจำเดือนถัดไป
- สตรีที่ไม่มีประจำเดือนหรือประจำเดือนไม่ปกติ ควรได้รับคำแนะนำถึงอาการข้างเคียงของการใช้ยาฉีดคุมกำเนิด
- สตรีหลังแท้งควรฉีดยาภายใน 7 วันหลังแท้ง
ข้อห้ามใช้ยาฉีดคุมกำเนิด
ข้อห้ามการใช้ยาฉีดคุมกำเนิดโดยเด็ดขาด WHO eligibility criteria category 4
- มะเร็งเต้านม
- เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดที่ยังไม่ทราบสาเหตุ
ข้อห้ามการใช้ยาฉีดคุมกำเนิดเชิงสัมพันธ์ WHO eligibility criteria category 3
- มารดาหลังคลอดใหม่ไม่ถึง 6 สัปดาห์ ที่เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา ยังไม่ควรฉีดยาคุมกำเนิดในช่วงนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานผลเสียของยาฉีดคุมกำเนิดต่อการหลั่งน้ำนม หรือการเจริญเติบโตของทารก
- ความดันโลหิตสูงกว่า 160/100 มม. ปรอท และมีโรคของหลอดเลือด
- โรคเส้นเลือดอุดตัน
- โรคหัวใจขาดเลือด
- เป็น migraine ที่มี aura
- เคยเป็นมะเร็งเต้านมเกินกว่า 5 ปี
- เบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ หรือมีโรคไต โรคเส้นเลือด
- กำลังเป็นโรคตับอักเสบ หรือโรคตับแข็ง
- เนื้องอกหรือมะเร็งตับ
อาการข้างเคียงของการใช้ยาฉีดคุมกำเนิดและอาการที่ต้องกลับไปพบแพทย์
- ประจำเดือนกะปริดกะปรอย มักจะเกิดในเข็มแรก ๆ ซึ่งไม่เป็นอันตรายใด ๆ หลังจากฉีดยาเข็มที่ 2 – 3 ประจำเดือนกะปริดกะปรอยจะน้อยลง และจะขาดประจำเดือนมากขึ้น แต่ถ้ามีประจำเดือนกะปริดกะปรอยนานเกินไป หรือเกิดขึ้นหลังจากไม่มีประจำเดือนมานาน ควรหาสาเหตุทางนรีเวช เพื่อให้การรักษาหรือส่งต่อ แต่ถ้าไม่มีโรคทางนรีเวชและยังมีประจำเดือนกะปริดกะปรอยอยู่ ควรเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด
- มีประจำเดือนมากหรือมีนานกว่า 8 วัน หรือมีเป็นสองเท่าของประจำเดือนปกติพบได้น้อยให้คำแนะนำว่า จะเป็นในช่วงเข็มแรก แต่ถ้ามีนานเกินไป ควรหาสาเหตุทางนรีเวช เพื่อให้การรักษาหรือส่งต่อ แต่ถ้าไม่มีโรคทางนรีเวชและยังมีประจำเดือนมากอยู่ ควรเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด
- ไม่มีประจำเดือน ซึ่งควรให้คำปรึกษากับผู้รับบริการว่าไม่มีอันตรายใด ๆ เลือดประจำเดือนไม่ใช่ของเสีย การไม่มีประจำเดือนทำให้ไม่สูญเสียเลือด ซึ่งถ้าไม่ยอมรับ ควรเปลี่ยนวิธีอื่น
- น้ำหนักตัว อาจขึ้นได้ 1 – 2 กิโลกรัมใน 1 ปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย ถ้าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก ควรหาสาเหตุอื่นด้วย
ผลดีของการใช้ยาฉีดคุมกำเนิด
- ประสิทธิภาพสูง
- มีความเป็นส่วนตัว ถ้าไม่บอกก็จะไม่มีใครทราบว่า ใช้ยาฉีดคุมกำเนิด
- สามารถคุมกำเนิดได้นานถึง 3 เดือน
- ไม่มีผลกับการมีเพศสัมพันธ์ อาจจะทำให้ดีขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลว่าจะตั้งครรภ์
- ไม่ต้องรับประทานยาคุมกำเนิดทุกวัน
- สามารถเลื่อนการนัดได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์
- ใช้ได้ในทุกกลุ่มอายุ
- สามารถใช้ได้ในแม่ที่ให้นมบุตร โดยคุณภาพน้ำนมไม่มีการเปลี่ยนแปลง
- ไม่มีอาการข้างเคียงของเอสโตรเจน
- ป้องกันการตั้งครรภ์นอกมดลูก มะเร็งรังไข่ เนื้องอกในมดลูก
- ไม่เกิดโรคโลหิตจาง เพราะส่วนใหญ่ผู้รับบริการยาฉีดคุมกำเนิดนาน ๆ มักไม่มีประจำเดือน
ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดด้วยยาฉีด
ในสตรีที่คุมกำเนิดด้วยยาฉีด จะมีอัตราการตั้งครรภ์ 0.3 รายในสตรี 100 คน ที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือนในเวลา 1 ปี อัตราการตั้งครรภ์จะสูงขึ้น เมื่อได้รับยาฉีดไม่ตรงเวลาหรือขาดหายไป
ประสิทธิภาพของยาฉีดคุมกำเนิดขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ฉีดยาเข็มแรก และเทคนิคของการฉีดยา การศึกษาในประเทศไทยพบอัตราการตั้งครรภ์ 0.16 ในสตรี 100 คน เมื่อมีการฉีดยาเข็มแรกใน 8 วันแรกของรอบประจำเดือน และพบอัตราการตั้งครรภ์ 0.62 รายในสตรี 100 คนที่ฉีดยาเข็มแรกหลังวันที่ 8 ขนาดของยาควรเต็มจำนวนที่กำหนดและระยะเวลาฉีดไม่ควรช้าเกินไป ยาฉีดชนิด 3 เดือนไม่ควรเกินกำหนด 2 สัปดาห์ และชนิด 1 เดือนไม่ควรเกินกำหนด 5 วัน นอกเหนือจากนี้ ต้องแน่ใจว่า ไม่ตั้งครรภ์จึงจะฉีดเข็มต่อไปได้
ขอบคุณที่มาบทความ เรื่อง เพศศึกษาและการวางแผนครอบครัว โดยอาจารย์จิตตรัตน์ ตันเสนีย์ จาก http://www.libarts.mju.ac.th/LibDocument/EBook/013/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%208%20%20%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7.pdf