นรกสวรรค์นั้นมีอยู่จริง สวรรค์ในอกนรกในใจ

พุทธศาสนาสอนว่า นรกสวรรค์นั้นมีอยู่จริง และได้แบ่งแยกนรกสวรรค์ไว้เป็น 3 ประเภท คือ

1. สวรรค์ในอกนรกในใจ ได้แก่ อารมณ์ทางทวารทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าได้เสพอารมณ์ที่เป็นที่ตั้งแห่งความสุข เป็นพออกพอใจแล้วก็เรียกว่า “สวรรค์” ตรงกันข้าม ถ้าอารมณ์ที่เสพไม่เป็นที่พอใจ ก็ถือว่า เป็น “นรก” เป็นนรกสวรรค์ที่เห็นกันได้ในปัจจุบันนี้ ชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า

2. นรกสวรรค์ในโลกนี้ที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ได้แก่ ความเป็นอยู่ภายนอกของมนุษย์ในโลกนี้ ที่มีความมั่งมีศรีสุข มีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ มีเครื่องใช้สอยประณีตเหนือมนุษย์สามัย มีความเป็นอยู่สะดวกสบายราวกับอยู่ในสวรรค์ ตรงกันข้าม ถ้าเกิดมายากจน ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร บ้านก็ไม่มีต้องเที่ยวเร่ร่อนไป มีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากแค้น หรือมีโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย เป็นคนพิการ ตาบอด หูหนวก บ้าใบ้ ง่อยเปลี้ยเสียขา อยู่อย่างทรมานไปวัน ๆ อย่างนี้ก็เรียกว่า “นรก”

นายแพทย์ไมคลอส นีชลิเป็นเชลยชาวยิวซึ่งโชคดีมีชีวิตรอดจากค่ายกักกันของพวกนาซี เขาได้บรรยายถึงค่ายกักกันเชลย ซึ่งมีสภาพอันทารุณโหดร้ายราวกับนรกบนดิน ความบางตอนว่า

พวกเยอรมันบังคับให้พวกเชลยขึ้นรถไฟหลายขบวน แต่ละขบวนมีตู้รถประมาณ 40 – 50 ตู้ และแต่ละตู้ต้องเบียดเสียดกันแน่นประมาณ 80 – 90 คน แทบไม่มีที่นอนหรือเหยียดแขนขา ซ้ำร้ายภายใจตู้ ก็มืดทึบและอากาศก็อุดอู้ แถมไม่มีส้วมให้ใช้ คิดดูเอาเถอะว่า นี่มันนรกหรืออะไรกันแน่ พวกเชลยต้องทรมานอยู่ในตู้รถไฟ ซึ่งมีคนป่วยและคนตายนอกกองทับกันรอบตัวถึงหั้นกว่าจะเดินทางมาถึงค่ายกักกัน

ภายในค่ายหลายแห่ง ในแต่ละวันจะมีนักโทษประมาณ 800 – 1,000 คน ถูกอัดเพิ่มเข้าไปในกรงขังจนแทบไม่มีที่อาศัยหลับนอน บางแห่งนักโทษยัดทะนานจนไม่สามารถเหยียดแขนขาออกไปรอบข้างได้สะดวก ในเวลากลางคืน พวกเขาจะพากันนอนหลับทั้งนอนตามยาวหรือไขว้กันโดยเอาหัวหนุนเท้า คอ หน้าอก สลับกันไป

พวกนักโทษไม่มีเวลานอนหลับสบายโดยตลอด เวลาตี 3 มีสัญญาณแตรปลุกให้ตื่น ใครนอนขี้เซาหรือกำลังสะลึมสะลือจะถูกปลุกด้วยกระบอง หรือทั้งเตะทั้งถีบ บางครั้งถูกราดด้วยน้ำทั้งถังจน เปียกโชก ทุกคนต้องรีบวิ่งออกไปข้างแถวนอกคุกเพื่อขานชื่อ กว่าจะเสร็จก็เวลา 7.00 น. ในขณะที่ขานชื่อ หากมีแถวใดไม่ตรง นักโทษในแถวนั้นก็ต้องเพิ่มเวลายืนนานกว่าแถวอื่นอีกหนึ่งชั่วโมง พร้อมกันกับชูมือเหนือศีรษะตลอดเวลา ทำให้ขาสั่นด้วยความเมื่อยล้าและหนาวเหน็บ และในกรณีที่มีคนตายในคุก ซึ่งจะมีวันละ 5 – 6 คนเป็นประจำ ในบางวันอาจมีคนตายถึง 10 คน และศพคนตายทั้งหมดก็ต้องนำมาเข้าแถวขานชื่อด้วย โดยให้นักโทษสองคนช่วยกันพยุงศพคนตายหนึ่งศพยืนเข้าแถว ทั้ง ๆ ที่บางศพนั้นดูน่าเกลียดน่ากลัวหรือน่าสมเพชมากทีเดียว และสภาพศพอยู่ในลักษณะเปลือยกาย แข็งทื่อ คอพับ และส่งกลิ่นเน่าเหม็น โดยศพจะถูกพยุงยืนอยู่ในแถวจนกว่าจะมีการขานชื่อนักโทษทั้งหมดจนเสร็จสิ้นแล้ว ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ลำเลียงศพไปยังเตาเผา โดยศพจะปล่อยทิ้งไว้ในคุกเป็นเวลานานอยู่หลายวัน และศพที่ถูกปล่อยทิ้งไว้จะถูกนำมาเข้าแถวขานชื่อด้วยทุกครั้งจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาขนศพไปเผา

พวกนักโทษหญิงส่วนใหญ่ที่คิดจะหนีให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน แต่ก็กลัวจะถูกตามล่าจึงจำต้องทนอาศัยอยู่ในคุกกันต่อไป พวกเธอต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่า เหม็นเน่ายิ่งกว่าผ้าขี้ริ้ว ต้องทนสู้ความหนาวเหน็บ และความหิวกระหายที่เกาะกุมในจิตใจอยู่ตลอดเวลา ในวันที่ฝนตก หลังคาคุกจะรั่ว น้ำฝนจะไหลลงมา ทำให้นักโทษหญิงเปียกปอนไปตาม ๆ กัน และเธอจะต้องทนใส่ชุดเปียกชื้นไปตลอดวันตลอดคืน อาหารที่พวกเธอได้รับแจกนั้นสกปรกพอ ๆ กับน้ำล้างจาน รสชาติเฝื่อน มีกลิ่นเหม็นเน่า แต่เธอทุกคนต้องกล้ำกลืนเพื่อความอยู่รอด เนื่องจาก อาหารที่ไม่มีคุณภาพ สารไข่ขาวที่มีอยู่ในร่างกายนั้นขาดแคลน เป็นเหตุให้ขาของพวกเธอหนักขึ้น ๆ การขาดแคลนไขมันทำให้ร่างกายพวกเธอบวมฉุ ระดูที่เคยมีก็จะขาดหายไป ทำให้พวกเธอมีอารมณ์หงุดหงิด อาการโรคจิตโรคประสาทจึงเกิดขึ้น และมีอาการปวดหัวข้างเดียว และมีเลือดไหลออกทางจมูก ผลจากการขาดไวตามินบี ทำให้เธอเชื่องซึม ชี้หลงขี้ลืม ไม่สามารถจดจำอะไรได้ง่าย พวกเธอลืมแม้กระทั่งเลขบ้านที่เคยอาศัย เหลือเพียงดวงตาเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่า ยังมีชีวิตอยู่

“ชีวิตมนุษย์” คือ ความพยายามที่ต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่า สัญชาตญาณแห่งความตาย เพราะความจริงที่มีอยู่ว่า คนเรากลัวความตาย แต่สำหรับเชลยในค่ายกักกันแห่งนี้แล้ว นักโทษส่วนใหญ่จะพอใจกับการที่จะถูกประหารชีวิต นี่คือ เรื่องแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ทำไม? เพราะเหตุใด?

มีอยู่หลายครั้งที่ทำให้ชาวยิวหลายหมื่นคน ต้องนั่งรอคอยเพชฌฆาตประหารชีวิตตนเป็นเวลาหลายวัน เนื่องจาก คิวเรียงแถวเดินเข้าไปยังโรงงานฆ่ามนุษย์ไม่ว่าง ทั้ง ๆ ที่เปลวไฟและควันกลิ่นไหม้ผมและเศษเนื้อมนุษย์พวยพุ่งออกจากปล่องของเตาเผาทั้งวันทั้งคืน

ริชาร์ด ชีเวอร์ แห่งนครนิวยอร์ก กล่าวไว้ว่า สภาพความโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวในค่ายกักกันเชลยของเยอรมัน ทำให้นักโทษส่วนใหญ่ที่รอดชีวิตไปได้ต้องเสียสุขภาพจิตอย่างหนัก บางคนพยายามสร้างชีวิตใหม่หลังจากได้รับอิสรภาพแล้วหลายปี แต่ก็ไม่อาจลืมเหตุการณ์อันเลวร้ายในค่ายกักกันเชลยได้ มันบั่นทอนสุขภาพทางจิตและทางกาย จนทำให้พวกเขาต้องประสบกับโรคภัยไข้เจ็บ นับตั้งแต่โรคประสาท โรคจิต และโรคร้ายต่าง ๆ ถึงกับเสียชีวิตไปในที่สุดหลายรายด้วยกัน

หญิงสาวคนหนึ่งได้รับอิสรภาพเมื่อเธอมีอายุ 16 ปีพอดี แต่นับว่า น่าเศร้ามาก ในที่สุดเธอฆ่าตัวตายที่กรุงปารีส เมื่อปี ค.ศ. 1954 นับเป็นเวลาเกือบสิบปีหลังจากเธอได้รับอิสรภาพรอดพ้นจากค่ายนรก เธอกลับไปสู่อ้อมอกแห่งวัฒนธรรมอันดีงาม ได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่เธอรัก ฐานะการเงินของครอบครัวเธอดีมาก เธอให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ก่อนที่เธอจะพบจุดจบของชีวิต นับเป็นเวลานานถึงหกเดือนที่เธอต้องต่อสู้กับภัยที่เกิดจากจิตใต้สำนึก ซึ่งบันทึกเอาภาพอันเลวร้ายที่เกิดจากความทรงจำในอดีตในค่ายกักกันเชลยของเยอรมัน (ยมทูตแห่งค่ายนรกนาซี บรรยง บุญฤทธิ์ แปล – เรียบเรียง)

วันที่ 6 สิงหาคม 2488 เวลา 8.15 น. เครื่องบิน B-29 ได้บรรทุกลูกระเบิดปรมาณูมาทิ้งที่เมืองฮิโรชิมา (เกิดระเบิดในท้องฟ้าที่ระดับความสูง 5.80 เมตร) ผลปรากฏว่า ผู้คนที่อยู่ในบริเวณใจกลางระเบิดนั้นตายในทันที ตัวดำเป็นผงถ่านไปหมด เพราะความร้อนบริเวณใจกลางระเบิดสูงถึงสิบล้านดีกรี (คงเป็นอุณหภูมิที่จุดศูนย์กลางซึ่งร้อนที่สุด อุณหภูมิที่พื้นดินราวสามถึงสี่พันดีกรี) คิดดูว่า มันร้อนสักเพียงไหน อุณหภูมิที่พื้นดินราวสามถึงสี่พันดีกรี) คิดดูว่า มันร้อนสักเพียงไปน (น้ำเดือดที่ร้อยดีกรีเท่านั้น) บ้านเมืองราบเตียนเป็นเศษอิฐไปทั้งเมือง ผู้ที่ไม่ตายทันที เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่จะลุกเป็นไฟในพริบตา แขน ขา และใบหน้าก็ลุกไหม้ไปหมด ต่างพากันวิ่งไปตามถนนราวกับหุ่นที่ไร้วิญญาณ โดยไม่รู้ว่า จะวิ่งไปไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวอยู่ในสภาพลุกโพลงโชติช่วงด้วยแสงไฟ

ครั้นแล้ว ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นเหมือนกับคนบ้าว่า ไปลงแม่น้ำกันเถิด ทุกคนเห็นดีด้วย ปรากฏว่า ในวันโลกาวินาศนั้น มีคนตัวแดง ๆ เพราะไฟลวกลงไปแช่ในแม่น้ำสลอนไปหมดเหมือนฝูงสัตว์ แล้วก็ค่อย ๆ ตายกันไปทีละ 10 – 20 คน เพราะทนพิษความร้อนไม่ไหว จนพวกที่ยังไม่ตายรู้สึกว่า ตัวมาลอยคออยู่ท่ามกลางซากศพแท้ ๆ

เมื่อแช่ไปได้สัก 5 – 6 ชั่วโมง น้ำเกิดแห้ง เลยต้องแช่จมอยู่ในโคลน เนื่องจาก น้ำที่แช่เป็นน้ำเค็ม เมื่อมาถูกแผลไฟลวกเข้า ก็รู้สึกแสบเหมือนเอามีดมาแทง แต่ก็เป็นมีดที่อบอุ่น ทุกคนยินดีให้มันแทง เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าไป ยืนตัวแดง ๆ ด้วยแผลไฟลวกอยู่กลางถนน

ไม่เพียงแต่ร่างกายมนุษย์ที่ลุกแดงช่วงโชติเหมือนถ่านในเตาไฟ แม้กระทั่ง เมืองทั้งเมืองก็แพงโร่ไปหมด ท้องฟ้าก็แดงเสียจนมองแทบไม่เห็นท้องฟ้า เลยไม่รู้กันว่า จวนสว่างแล้ว พอรุ่งเช้าทุกคนก็วิ่งฝากลุ่ม ควันดำ ๆ ที่ฟุ้งตลบอยู่เพื่อไปโรงพยาบาล แต่ทางที่จะไปนั้นระเกะระกะไปด้วยเศษเหล็กและซากบ้านเรือนที่พังทลาย มีเสียงคนนอนร้องครวญครางไปตลอดทุกระยะนำสยดสยอง นั่นไม่ใช่เปรตหรืออสุรกายที่ไหน คนเหมือนกัน

ผู้คนที่เสียชีวิตไปอย่างน้อยมีสามแสนคน นอกจากที่เหลือก็พิการ และนอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลหรือตามบ้านโดยไม่มีใครจะเหลียวแล ซึ่งผู้รอดชีวิตโดยบาดเจ็บเล็กน้อยนั้นมีไม่มาก นายคิกกาวาก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่รอดชีวิตและต้องทนอยู่อย่างทุกข์ทรมาน เขาได้เล่าถึงความหลังว่า ขณะที่กำลังผลักประตูเข้าบ้านนั้น ทันทีที่รู้สึกว่า มีแสงประหลาด แล้วเขาก็ยกมือขึ้นปิดศีรษะ มืดและหลังจึงโดนแสงนั้นอย่างเต็มที่ ต่อจากนั้นเขาก็ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็พบว่า กำลังนอนอยู่ในบ้านซึ่งเต็มไปด้วยเศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เมื่อได้ออกมานอกบ้านก็เห็นเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ กำลังวิ่งออกจากบ้าน ทุกคนเหลือแต่ร่างเปลือยและตกใจกันเหมือนจะเป็นบ้า ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บ ต่อมาอีก 2 วันจึงรู้สึกเจ็บมาก และเป็นไข้สูง 40 กว่าองศา กินอะไรไม่ได้เลยอยู่นาน 1 เดือน ผมก็ร่วงหมด เลือดก็ออกจากจมูกและปากเสมอ และเป็นเลือดดำ ไม่ใช่เลือดแดงอย่างที่เราเห็นกัน และก็มีหนอนตัวเล็ก ๆ ออกจากผิวหนัง เขานอนเจ็บอยู่ในบ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ต่างจังหวัด 6 เดือน และตลอดเวลานั้นกินได้แต่น้ำอย่างเดียว

พ่อแม่ของเขาตายหลังจากถูกระเบิด 2 วัน เพราะทนพิษบาดแผลไม่ได้ คนที่เจ็บเพราะระเบิดปรมาณูโดยมากตายหมด เหลือไม่ตายราวสี่พันคน พวกที่ตายถือว่า โชคดี คนโชคร้ายเท่านั้นที่รอดเหลือมา เพราะต้องผจญกับความทรมานอีกมากมาย ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีใครอุปการะ ตายเสียก็ไม่ตาย อยู่ไปก็มืดมนไร้อนาคต

เวลานี้ (5 ปีหลังจากถูกระเบิด) ตัวนายคิกกาวามีแผลเป็นเต็มหลัง หมอได้พยายามลอกเอาหนังที่เสียออก 16 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ลอกแล้วมันขึ้นมาใหม่ไม่เป็นหนังธรรมดาเลย แต่เป็นหนังเสียทุกครั้งไป นอกจากนี้ นิ้วมือเขาก็หงิกงอน่าทุเรศ (โฉมหน้าอันแท้จริงของญี่ปุ่น โดยวิลาศ มณีวัต)

3. นรกสวรรค์ที่เป็นปรโลก (โลกอื่น) มองไม่เห็นด้วยตา ได้แก่ สวรรค์ที่เป็นโลกจริง ๆ มีเทวดาอยู่เป็นตัวเป็นตน เสวยสุขอยู่จริง ๆ และนรกที่เป็นโลกจริง ๆ มีสัตว์นรกที่กำลังเสวยทุกข์อยู่จริง ๆ นรกสวรรค์ประเภทนี้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่รับรองว่า โลกเรานี้เป็นสะเก็ดที่แตกออกมาจากดาวดวงมหิมา นอกจากโลกเราแล้ว ยังมีดวงดาวอื่น ๆ อีก ที่คล้ายคลึงกับโลกเรา ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน

เชื่อกันว่า ดาวที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้ามีประมาณ 1,000 ล้านดวง แต่ที่มองเห็นด้วยตาเปล่ามีไม่เกิน 6,000 ดวง การนับดาวนับจากภาพที่ถ่ายโดยกล้องโทรทรรศน์ แล้วใช้เครื่องนับที่ทำงานด้วยแสงเลเซอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ดวงดาวจำนวนมากมายเหล่านั้น อาจจะมีสิ่งมีชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยความประณีตสุขุม ดีกว่าโลกของเราทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร อุณหภูมิ หรือดินฟ้าอากาศ นี้แหละเรียกว่า โลกสวรรค์ ในทางตรงกันข้าม ก็อาจมีดาวบางดวงซึ่งสิ่งมีชีวิต ที่เป็นอยู่ด้วยความลำบากยากแค้น ยิ่งกว่าคนลำบากที่สุดในโลกของเรา อาหารก็ไม่ดี อุณหภูมิก็ไม่ดี ดินฟ้าอากาศก็ไม่ดี นี้แหละนรกที่เป็นโลกอื่น

พระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญที่สุดของพุทธศาสนากล่าวถึง นรกสวรรค์ที่เป็นปรโลกไว้หลายแห่ง เช่น 25/273 (เล่ม 25 ข้อ 273) กล่าวถึง อบายภูมิ 4 19/1681 กล่าวถึงสวรรค์ 6 11/238 กล่าวถึง อรูป (อรูปพรหม) 4 เป็นต้น

ในคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า ภพหรือภูมิที่สรรพสัตว์ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด 31 ภูมิ คือ

  • อบายภูมิ 4 (นิรยภูมิ ดิรัจฉานภูมิ ปิตติวิสยภูมิ อสุรภายภูมิ)
  • มนุษย์ 1
  • สววรค์ 6 (จาตุมหาราชิกาภูมิ – ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ)
  • รูปพรหม 16 (ปาริสัชชาภูมิ – อนนิฏฐสุทธาวาสภูมิ)
  • อรูปพรหม 4 (อากาสานัญจายตนภูมิ – เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ)
  • ใน 31 ภูมินี้ อบายภูมิ 4 จัดเป็นทุคติ ที่เหลือ คือ มนุษย์ เทวโลกและพรหมโลกจัดเป็นสุคติ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *