คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ติด “หวาน” “น้ำตาล” ลูกหลานสุขภาพดี

เมื่อเอ่ยถึงคำว่า “หวาน” คนส่วนใหญ่มักคิดถึง “น้ำตาล” น้ำตาลทำไมถึงทำให้ติดได้ ติดแล้วมีผลต่อสุขภาพอย่างไร

การรับประทานหวานไม่ผิด… แต่รับประทานอย่างไรให้พอดี มีผลดีต่อสุขภาพและไม่ติดหวาน

เชื่อหรือไม่ว่า คนเราสามารถติดหวานได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่…!!

คนเรารับสัมผัสความหวานได้จากตุ่มรับรสในลิ้น ซึ่งจะพัฒนาตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งทารกจะได้รับรสหวานจากน้ำคร่ำ ซึ่งมีกลูโคส ฟรุคโตส กรดแลคติค กรดไขมัน และอื่น ๆ เป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ อาหารที่มีรสชาติต่าง ๆ ที่มารดารับประทานขณะตั้งครรภ์ สามารถส่งผ่านทางรกสู่น้ำคร่ำได้ด้วย

มีการศึกษาให้ทารกดูดนมแม่และน้ำหวาน พบว่า ทารกดูดน้ำหวานแรงและยาวนานกว่านมแม่ ทั้งยังเพิ่มความต้องการขึ้นเรื่อย ๆ … ทารกติดหวานเสียแล้ว

“น้ำตาล” ให้พลังงานก็จริง ทำให้รู้สึกสดชื่นเร็ว แต่ปริมาณน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากต่อมหมวกไตออกมาเพื่อควบคุมให้ปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดอยู่ในระดับปกติ โดยจะนำน้ำตาลไปเก็บในรูปของไกลโคเจน กรดไขมันอิ่มตัว และคอเลสเตอรอล ซึ่งทำให้อ้วนและเป็นโรคเส้นเลือดอุดตันจากคอเลสเตอรอลได้ ถ้าร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณมากเป็นประจำ ต่อมหมวกไตจะทำงานหนักจนเกิดการผิดปกติในการผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งจะทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ง่าย และจะตามมาด้วยไตวายต้อกระจก

นักโภชนาการ ถือว่า “น้ำตาล” เป็นสารที่ให้พลังงานชนิดหนึ่ง เรียกว่า “พลังงานว่างเปล่า” (Empty carlories) หมายถึง ให้เฉพาะพลังงานเพียงอย่างเดียว โดยไม่ให้คุณค่าทางโภชนาการอย่างอื่น เป็นอาหารที่ปราศจากกากใย ไม่มีวิตามิน แร่ธาตุ และโปรตีน จึงทำให้ร่างกายของเราไม่จำเป็นต้องกินน้ำตาลก็สามารถดำรงอยู่ได้ เพราะร่างกายสามารถรับน้ำตาลได้จากอาหารอื่นทั่วไป อาทิ ข้าว แป้ง ผัก และผลไม้ ที่กินกันอยู่ทุกวัน ซึ่งมีสารประเภทน้ำตาลรวมอยู่ในอาหารนั้น ๆ อยู่แล้ว แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับการบริโภคน้ำตาลในชีวิตประจำวัน

ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นคน “ติดหวาน” แม่ขณะตั้งครรภ์อย่ากินหวาน และควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ต่อด้วยนมรสจืด เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *