เมื่อฉันมีเลือดออกตลอดทุกวัน อย่าเข้าใจผิด คิดว่า เป็นอาการของคนวัยทอง (ตอนที่ 2)

สวัสดีค่ะ เรามาต่อกันนะคะ ตอนนี้ จะเป็นการเข้าเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาล หรือการเข้าพักเพื่อการผ่าตัดแล้วค่ะ ถึงแม้ว่า ระหว่างการตรวจพบหมอ เราจะใช้ประกันสังคมมาตลอด และประกันสังคมโรงพยาบาลก็ดีนะ แต่เรื่องการนอน เราไม่ชอบอยู่กับคนมาก ๆ เราระแวงนอนไม่ได้นะ (โรงพยาบาลนี้ ห้องพักผู้ป่วยประกันสังคมเป็นแบบสี่เตียงนะ ซึ่งถือว่า โอเค) ตกลง เราก็ใช้ประกันชีวิตนะ นอนห้องพิเศษ และการผ่าตัดทั้งหมดเบิกจากประกันชีวิต (ไม่ได้เบิกประกันสังคม) แต่ค่าห้องเบิกประกันสังคม คืนละ 700 บาทมาช่วยนะ เพราะประกันเราค่าห้องไม่พอ

ก่อนการผ่าตัด ตั้งแต่ช่วงสองทุ่มเป็นต้นไป ก็จะเริ่มอดอาหาร พยาบาลก็จะมาให้น้ำเกลือ และสวนทวาร เพื่อให้ขับถ่ายออก ตอนเช้าก็สวนทวารอีกรอบ มีการสวนล้างช่องคลอดสองรอบ รอบตอนกลางคืนหนึ่งรอบ และเช้าก่อนการผ่าตัดสักสองชั่วโมงอีกหนึ่งรอบนะ และก็โกนขนหน้าท้อง ขนตรงท้อง ขนหัวเหน่า ออกหมดเลยนะ

กำหนดผ่าตัดบ่ายโมง ก็ไปห้องผ่าตัด เป็นการผ่าตัดแบบบล็อกหลังนะ รู้สึกตัวตลอด เหมือนยาวนานมาก เราก็มีอาเจียนนะ เห็นว่า เป็นเพราะยาบล็อกหลังนะ ประมาณเกือบสิบครั้ง แต่ก็มีแค่น้ำนะ ฟังหมอพยาบาลคุยกันไปผ่าตัดกันไป เรานอนจนเผื่อ เลยถามหมอว่า เสร็จรึยังค่ะ เผื่อแล้ว หมอบอก โอ๊ย คนไข้ ยังครับ ใจเย็น ๆ นะครับ

พอหมอผ่าตัดเสร็จ เอามดลูก รังไข่ มาให้เราดูด้วยนะ บอกว่า มันโตมากเลย ออกมาทั้งโต ๆ เลยนะ

หลังจากนั้น ก็เข้าไปห้องรอดูอาการนะ ก็ยังอาเจียนอยู่นะ คือ โดยรวมตลอดประมาณสิบครั้งนะ เมื่อครบกำหนดการดูอาการ ก็ถูกส่งตัวกลับห้องพัก ลูกสาวรออยู่ (ในช่วงนี้ งดเยี่ยมเลย) พยาบาลก็บอกต้องนอนราบ ๆ ห้ามยกหัวเตียงหรือเท้าขึ้น 24 ชั่วโมงนะ แต่พอเรากลับห้องสักพัก เราก็เริ่มขยับเท้าได้ และค่อย ๆ ขยับได้ทั้งตัวปกตินะ

กิตติศักดิ์เรื่องพยาบาลของโรงพยาบาลนี้ ที่อ่านมาตลอดก็เริ่มขึ้น หลังการผ่าตัด ในเช้าวันแรก ด้วยการเช็ดตัว คนไข้ตะแคงด้านซ้ายค่ะ แต่พยาบาลยืนมองกันเฉย ๆ ไม่ช่วยนะ เราก็พยายามตะแคงให้เค้า เช็ดตัว เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ใส่เสื้อ คนไข้ตะแคงด้านขวาค่ะ เราก็ทำตาม พยาบาลก็ไม่ช่วยเลยจริง ๆ จนเสร็จเรียบร้อย ในใจก็คิดว่า เข้าใจนะ ว่า ต้องให้คนไข้ขยับตัวเองให้ได้ นอนเฉย ๆ มันไม่ดีนะ เข้าใจ เข้าใจ เข้าใจ ค่ะ วันที่สองก็เป็นเหมือนเดิมค่ะในเรื่องการเช็ดตัว ในวันแรกเรายังไม่ได้ทานอะไรนะคะ หลังการผ่าตัด มาทานตอนเย็นสักสี่โมงเย็น เป็นน้ำขาว กับน้ำเกลืออุ่นคะ แต่ก็ทานไม่ได้ และก็ให้เริ่มจิบน้ำสักตอนบ่ายสามคะ เราไม่จิบเลย กระดกเลย (ลูกสาวบ่นใหญ่เลย เค้าให้จิบแม่ แบบแป๊ปเดียวหมดขวดเลย) แต่การผ่าตัดครั้งนี้ ปากเราไม่แห้งมากนะ (เป็นการผ่าตัดครั้งที่สาม สองครั้งแรกผ่าตัดคลอดลูก) และพยาบาลก็เอาน้ำมาให้ แบบเหยือก เพื่อคอยเช็คดูว่า เราดื่มน้ำไปมากน้อยเท่าไหร่นะ สักสองทุ่มก็มีโจ๊กมาให้เราทาน แต่ก็ยังทานไม่ได้นะ

วันที่สองหลังจากการเช็ดตัวเสร็จ หมอก็มาเยี่ยมไข้ และก็บอกว่า จะให้น้ำเกลืออีกสามขวดนะ หลังจากนั้น ก็จะถอดถุงปัสสาวะ และน้ำเกลือออก คนไข้ต้องเดินนะ พยายามเดินนะ หลังจากถอดน้ำเกลือแล้วนะ ก็รับปากคุณหมอกันไป หมอก็แกะดูแผล และก็เปลี่ยนผ้าแผลให้ ติดกันน้ำให้ (แผลเรายาวมาก เกือบสิบแปดนิ้วได้) คือ เราเจ็บแผลมาก เพราะแผลอยู่ติดสะดือ และยาวถึงหัวเหน่าเลย มันจะเหมือนเสียว ๆ อยู่ตรงสะดือนะ วันนี้ ลูกสาวก็จัดมะละกอมาให้ทานเลยตอนเย็น ก่อนนอน

วันที่สาม ความโหดแบบเพื่อคนไข้ยังไม่หมด คุณพยาบาลบอกว่า วันนี้ คนไข้มาเช็ดตัวในห้องน้ำนะคะ ก็คือ บังคับเราลุกจากที่นอนนะ เราก็เข้าใจคุณพยาบาลค่ะ ว่าพยายามให้คนไข้ได้ขยับตัวนะ เมื่อเช็ดตัวเสร็จวันนี้คุณหมอก็มาเยี่ยมไข้ และบอกว่า เมื่อทานข้าวแล้ว สักครึ่งชั่วโมง ให้ไปเดือนรอบ ๆ ด้านนอก สักรอบสองรอบนะ ค่อย ๆ เดิน และก็ย้ำด้วยนะว่า ทานแต่อาหารของโรงพยาบาลก่อนนะ จะได้รู้ควบคุมเรื่องลำไส้ หลังผ่าตัด จะได้เช็คได้ง่ายนะ (จริง ๆ เพราะวันแรกที่เข้าก่อนผ่าตัด พยาบาลบอกให้ทานแต่อาหารอ่อน เตรียมผ่าตัด อาหารโรงพยาบาล ทุกคนคงเข้าใจนะว่าเป็นยังไง ลูกสาวก็แม่ทานได้ สั่งวุ้นเส้นน้ำหมู มาให้แม่ทานเลย พยายามคงไปบอกหมอนะ กลัวว่า วันนี้จะสั่งอาหารข้างนอกมาทานอีก และเมื่อวานก็ทานมะละกอไปด้วย) ในช่วงบ่าย ๆ พยาบาลก็บอกว่า ให้เราออกไปเดินข้างนอกนะ จะได้เห็น เดินแต่ในห้อง พยาบาลมองไม่เห็น และก็อย่าเดินตัวงอ จะเจ็บหลังได้ ต้องมารักษาหลังอีก ก็จริงของพยาบาลนะ เพราะเราเดินตัวงอนะ เจ็บแผล ส่วนตัวเราก็คิดว่า เราคงเดินได้ไม่ครบรอบ ก็ยังไม่ออกไปเดินนะ แต่ตอนเย็น ๆ ก็ชวนลูกสาวออกไปเดิน หลังทานข้าวเสร็จ ก็เดินได้สองรอบนะ พยาบาลก็บอกว่า เดินได้แล้วดีแล้ว และเช้าก็ออกไปเดินอีก แต่เช้ารู้สึกเจ็บแผลมากขึ้น เดินได้รอบเดียว ก็กลับมาพักแล้ว

วันที่สี่ คุณหมอติดงานด่วนไม่ได้เข้ามา แต่ก็แจ้งให้กลับบ้านได้ ก็ทำเรื่องกลับบ้านแล้วค่ะ จริง ๆ คงแค่เราออกไปเดินให้พยาบาลเห็นว่า เราเดินได้ดีแล้วมั้ง พยาบาลก็บอกหมอ ก็สั่งกลับบ้านนะ (นี่เราคิดเองนะ)

เราไม่ได้กลับบ้านในช่วงเช้า กว่าทางโรงพยาบาลจะเคลียร์ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กับประกันเสร็จก็ประมาณสิบโมงแล้ว และเรามีส่วนที่ต้องจ่ายเพิ่ม เพราะเรานอนห้องพิเศษ และเกินจากที่เราเบิกค่าห้องจากประกันชีวิต และรวมกับประกันสังคมแล้ว แต่ก็จ่ายไปประมาณหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งเราถือว่า ซื้อความสะดวกสบายค่ะ เพราะนอนห้องประกันสังคม ไม่ให้คนเฝ้าด้วยคะ นอนห้องพิเศษ ลูกสาวก็เทียวไปเทียวมาได้ มาเยี่ยมช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ กว่าจะกลับก็สี่ห้าทุ่มนะ

จากที่เราใช้บริการโรงพยาบาลเกษมราษฎร ประชาชื่น ในการรักษาครั้งนี้ ถือว่า โดยรวมดีมากค่ะ คุณหมอดูแลตั้งแต่เริ่มใช้บริการด้วยประกันสังคม คุณหมอดีมากค่ะ และพยาบาลหน้าห้องสูตินารีเวช บริการดี สอบถามอะไรก็จะพูดจาดี ยิ้มแย้มแจ่มใสค่ะ เห็นอยู่ว่า งานยุ่งมาก แต่ก็ยังบริการทุกคนได้ดีค่ะ

สำหรับพยาบาลที่ห้องผ่าตัด และเจ้าหน้าที่ ทุกคนบริการดีมากค่ะ เห็นคุยกันสนุกสนาน ทั้งที่คนไข้นอนอยู่นะ แต่ก็เข้าใจว่า พยาบาล กับเจ้าหน้าที่คงชินแล้วกับสถานการณ์แบบนี้ แต่เราคนไข้ นาน ๆ ๆๆๆๆ ม๊ากกกก ถึงจะเข้าห้องผ่าตัดทีนะ ก็สุด ๆ จะทน กลัวค่ะ

และท้ายที่สุด พยาบาลที่ดูแลขณะพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยรวมถือว่า ดี ผ่านค่ะ พยาบาลก็พยายามช่วยเราให้ทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ถึงแม้บางทีมองว่า โหด ๆ หน่อยนะ แต่เราเข้าใจค่ะ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเอง ก็อาการก็จะไม่ดีขึ้นนะ การให้คำแนะนำต่าง ๆ ถือว่า ดีค่ะ สำหรับเรานะคะ ถึงแม้บางครั้งจะไม่มีหางเสียงบ้างนะ

ทั้งนี้ ขอขอบคุณคุณหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ทำให้การผ่าตัดของเราผ่านไปด้วยดี ประสบความสำเร็จ (ท่ามกลางความกลัวของคนไข้) ต่อไปก็ยังต้องไปพบแพทย์ต่อเนื่อง โดยใช้บริการประกันสังคมต่อไป และคิดว่า อาจจะต้องพบแพทย์ เพื่อปรึกษาเรื่องการทานฮอร์โมน เพราะได้ตัดรังไข่ออกแล้ว ไว้จะมาเล่าให้ฟังกันใหม่นะคะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *