อาหารคาวเส้นขาว ๆ นุ่ม ๆ วางเรียงเป็นจับ ที่เรารู้จักกันดีในนาม “ขนมจีน” เป็นอาหารไทยที่มีมานานเป็นร้อยปีแล้ว เราจะทานกับน้ำยาบ้าง น้ำพริกบ้าง หรือน้ำเงี้ยวบ้าง หรือบางคนก็ทานกับส้มตำ แล้วแต่ความชอบและความอยากจะทานในขณะนั้น

แล้วทำไม ณ ตรงนี้จึงมาพูดเรื่องขนมจีน ก็เพราะว่า หน้าร้อน อากาศร้อน อุณหภูมิเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่ติดอยู่กับเส้นขนมจีน ดังนั้น การทานขนมจีนบางครั้งอาจแจ็คพ็อทเป็นโรคอาหารเป็นพิษ ท้องเสียท้องร่วงได้ และมีโอกาสเป็นได้ง่ายกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ มากหลาย เพราะอะไร…

สาเหตุนั้น คือ “ขนมจีน” สามารถเริ่มปนเปื้อนด้วย เชื้อโรคได้ตั้งแต่ที่กรรมวิธีการผลิตเลย เพราะเมื่อขนมจีนผ่านน้ำต้มเดือดแล้ว เขาจะนำมาแช่ในน้ำอุณหภูมิปกติ แล้วนำมาจับเป็นหัวเรียงใส่ภาชนะ ซึ่งตรงนี้ บางครั้งผู้ผลิตอาจใช้น้ำไม่สะอาด หรือบางครั้งใช้น้ำคลองที่อาจปรับปรุงคุณภาพได้ไม่ดีหรือไม่ได้ปรับปรุงเลย รวมทั้งการขนส่งที่ไม่เหมาะสม สภาพของที่เก็บในขณะที่พักค้างคืนรอจำหน่ายอยู่ในตลาด ตลอดทั้งความสะอาดของมือผู้ขายที่หยิบจับเส้นขนมจีนด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นจุดสำคัญในการกระจายเชื้อโรคไปสู่ผู้บริโภคได้ทั้งสิ้น

“ขนมจีน” นอกจาก เป็นอาหารอร่อยสำหรับเราแล้ว ก็เป็นอาหารที่ดีสำหรับพวกเชื้อโรคเช่นกัน อย่างเช่น เชื้อโรคสแตฟิโลคอกคัส ออเรียส ซึ่งเราอาจพบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์ น้ำนมดิบ และผิวหนังของคน โดยเฉพาะตามซอกเล็บ ผม แผล และสิว เป็นต้น สารพิษ (toxin) ที่เชื้อนี้สร้างขึ้นทำให้ผู้บริโภคมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน และอาเจียนอย่างรุนแรงได้ภายในระยะเวลา 1 – 6 ชั่วโมง หลังบริโภคเนื่องจาก เชื้อสแตฟิโลคอกคัสออเรียส สามารถเจริญเติบโตได้เร็วมาก จะแบ่งตัวทุก 20 นาที และเพิ่มจำนวนได้ถึง 100,000,000 ตัว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ถ้าตรวจพบมากกว่า 100,000 ต่ออาหาร 1 กรัม จะถือว่า มีปริมาณสารพิษเพียงพอที่จะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้

ดังนั้น จึงควรช่วยกันรักษาความสะอาดของขนมจีนทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นด้านกรรมวิธีการผลิต การขนส่ง และการจำหน่ายก็ตาม สำหรับผู้บริโภคเองก็ต้องรู้จักเลือกซื้อขนมจีนที่ใหม่และสะอาด ที่สำคัญที่สุดนั้น คือ ก่อนนำมาทานควรนึ่งขนมจีนอีกครั้งหนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ อีกทั้งผักที่ทานร่วมด้วยก็ต้องใส่ใจล้างให้สะอาดด้วยเช่นกัน ถ้าทุกคนทำได้เช่นนี้การเกิดโรคอาหารเป็นพิษ