ทฤษฎีความรักสีชมพู “กุมภาพันธ์” ทฤษฎีการจีบ สัญญาณที่บอกให้รู้ว่า “รัก”

“กุมภาพันธ์” ได้ชื่อว่า เป็นเดือนแห่งความรักที่หนุ่มสาวมักให้ความสำคัญเนื่องจากวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์วันแห่งความรักสากล บอกเล่าเรื่องราวของ “ความรัก” ที่คิดว่ารู้จักกันดี และไม่ง่ายเลย เพียงแต่ตั้งใจจะเริ่มต้นเขียนนิยามของคำว่า “ความรัก” ก็รู้สึกหลงทางเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะนิยามอย่างไรให้มีความหมายเป็นสากล ในพจนานุกรมยังนิยามความหมายของคำว่า “รัก” ไว้แตกต่างกัน กระทั่งใน Google ก็ไม่พบคำตอบที่ชัดเจนสักที ถึงแม้ว่า จะไม่สามารถนิยามความหมายที่แท้จริงของมันได้ คิดว่า ทุกท่านมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว

เมื่อมีรัก หลายคนคงเคยพร่ำถามตัวเองว่า ความรักมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ตามแนวคิดแบบศิลปินอาจบอกว่า รักเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วน ๆ ไม่มีเหตุผล รักเป็นทั้งสิ่งสวยงามและความมืดมิด ตามแนวคิดของคนบางกลุ่มที่เชื่อในเรื่องสิ่งอัศจรรย์เหนือธรรมชาติก็มักจะท้าทายด้วยคำถามที่ว่า

Do you believe in destiny?

คุณเชื่อในพรหมลิขิตหรือไม่?

แม้จะทราบดีว่า ไม่มีทฤษฎีใดทางวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายเหตุผลของการเกิดความรักได้อย่างชัดเจน แต่ยังมีข้อเท็จจริงที่นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มสามารถอธิบายได้ และหลายสิ่งล้วนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นในตัวเรา

ทฤษฎีการจีบ

“ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” การมองตาเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่หนุ่มสาวเจ้าเสน่ห์ทั้งหลายยืนยันว่า มีประสิทธิภาพจริง ศาสตร์จารย์อาเธอร์ อรัน นักจิตวิทยาจากนิวยอร์ก ได้ทำการทดลองโดยนำชายหญิงหลายคนมาจับคู่นั่งพูดคุยกันแบบเปิดอกเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของแต่ละคน นานหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หลังจากนั้นให้นั่งจ้องตากันเฉย ๆ โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไรทั้งสิ้น อีกสี่นาที ผลคือ ผู้ที่เข้ารับการทดลองหลายคนยอมรับว่า เกิดความสนใจในตัวของคู่ทดลอง โดยเฉพาะคู่ที่อยู่ในสายงานหรือมีระดับทางสังคมที่ใกล้เคียงกัน และมีคู่หนึ่งก้าวหน้าไปถึงขั้นแต่งงานกันเลย ในประเด็นของความรักที่เกิดจาการมองตานั้น นักวิทยาศาสตร์บอกว่า “เมื่อเรารู้สึกสนใจอะไรรูม่านตาของเราจะขยาย นัยน์ตาจะดูกลมโตและเป็นประกาย ซึ่งอาจจะเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้เขาเธอรู้ตัวก็เป็นได้”

สัญญาณที่บอกให้รู้ว่า “รัก”

เมื่อคนสองคนเริ่มมีความรู้สึกต่อกัน สัญญาณที่บ่งบอให้รู้ว่า “รัก” ได้แก่ “การเลียนแบบ” เมื่ออยู่ในโลกแห่งรัก คนสองคนจะเลียนแบบหลายสิ่งหลายอย่างจากกันและกันโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการเดิน นั่ง พูด บุคลิกท่าทางต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ปรากฏการณ์กระจกเงา การที่คู่รักทำอะไรที่เหมือนกัน แสดงว่า ทั้งคู่เปิดใจให้กัน พร้อมที่จะยอมรับซึ่งกันและกัน แต่ถึงกระนั้น ปรากฏการณ์กระจกเงาอาจเป็นอันตรายได้ เพราะมันเกิดขึ้นในกลุ่มของเพื่อสนิทด้วยเช่นกัน ผู้ที่กำลังแอบรักเขา ต้องระวังให้มาก เพราะหากตีความไม่ดีแล้วอาจสับสนระหว่างสัญญาณของความรักกับมิตรภาพได้

มนุษย์เราชอบความท้าทาย “อุปสรรค…ทำให้รักบังเกิด”

มีหลายคนบอกว่า ถ้าคนเราผ่านสถานการณ์ที่ “ยากลำบาก” มาด้วยกัน จะยิ่งทำให้เข้าใจกันดี นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า จริง มีฉากในภาพยนตร์หลายเรื่องที่พระเอกนางเอกไปเดทกันที่สวนสนุก มีข้อพิสูจน์แล้วว่า การที่หนุ่มสาวได้เล่นเครื่องเล่นผาดโผนหวาดเสียวด้วยกัน จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ในแนบแน่นขึ้น แต่นั่นอาจเป็นแค่ปัจจัยหนึ่ง แท้จริงแล้วคนทั้งสองอาจมีช่วงเวลาที่ได้รับความอบอุ่นและรับรู้ถึงความห่วงในจากอีกฝ่ายยามที่ต้องกลัวสุดขีด

ส่วนมากแล้วจะเป็นนิยามของความรักในช่วงของการเริ่มต้น แต่ในชีวิตจริงของคนเราต้องเดินทางไกล และความรักจะอยู่กับเราเสมอและตลอดเวลา ซึ่งมิได้หมายถึง ความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงความรักความผูกพันของครอบครัว เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง และบุคคลอื่นที่เราเคารพรักด้วย บางครั้งเราอาจจะมีจิตใจจดจ่ออยู่กับความรักที่เรามุ่งหวัง ปรารถนา และมุ่งมั่นตั้งใจ เพื่อให้ได้มาในบางสิ่งที่เราขาดหายไป จนลืมคนรอบตัว อย่าลืมให้ความรักกับคนที่เขารักเรานะ เพราะคุณอาจจะรู้ตัวอีกทีในวันที่สูญเสียเขาเหล่านั้นไป และไม่สามารถหวนกลับมาได้อีก สำหรับคู่รักที่คบกันมาเป็นระยะเวลานาน อย่าลืมเติมเต็มความรู้สึกให้กัน อย่าลืมความรู้สึกตอนที่เราโหยหาความรักหรือยามที่เราเคยเดินทางอย่างโดดเดี่ยว สำหรับท่านที่สูญเสียความรักในวันแห่งความรักนี้ อย่าลืมที่จะหันกลับมาให้ความรักกับตัวเอง เคยมีคนบอกว่า “ถ้าเราไม่รักตนเอง ไม่เชื่อในตนเอง แล้วใครจะมารักคุณ นั่นเพราะเรายังไม่สามารถดูแลตนเองได้เลย แล้วเราจะไปดูแลใครได้อีก”

ที่มาบทความทฤษฎีสีชมพู https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/sites/default/files/public/pdf/column/@Rama6_E12.pdf

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *