“แชมพู” หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่เตรียมขึ้นในรูปของเหลว ของแข็ง ครีม เจล ผง หรือเม็ด ก้อน หรือฟอง ซึ่งเมื่อใช้ตามที่ระบุบนฉลาก สามารถชำระล้างคราบไข ฝุ่นละออง เหงื่อไคล และมีสิ่งปรุงของสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) เป็นส่วนประกอบหลักที่ใช้ขจัดสิ่งสกปรกออกจากเส้นผมและหนังศีรษะ โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้
คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์แชมพู
คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์แชมพูที่ดี มีดังนี้ คือ
- สามารถทำความสะอาดเส้นผม และหนังศีรษะได้อย่างหมดจด
- เมื่อใช้สระผม ไม่ทำให้เส้นผมเหนียว หวียาก เส้นผมหลังสระต้องลื่น อ่อน นุ่ม เป็นประกายแวววาว และยืดหยุ่นตัวได้ดี
- ไม่ทำลายไขมันตามธรรมชาติของเส้นผม ไม่ทำให้ผมแห้งกรอบ หรือหนังศีรษะแห้งจนเกินไป
- เกิดฟองปริมาณมากและสม่ำเสมอ ฟองคงทนบนผมแม้ขณะที่มีน้ำมันหรือสกปรก
- ล้างออกได้ง่ายด้วยน้ำธรรมดาและน้ำกระด้าง
- ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง ผิวหนังอักเสบหรือผมร่วง
- ไม่ทำให้แสบตาหรือเป็นอันตรายต่อเยื่อตา
- มีกลิ่นหอมซึ่งไม่ก่อความระคายเคือง
- มีความคงตัวดี สี กลิ่น และความหนืดไม่เปลี่ยนแปลง แม้ถูกแสงหรืออุณหภูมิสูง
ส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์แชมพู
ส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์แชมพู ประกอบด้วย ส่วนประกอบ ดังนี้
- สารแรงตึงผิวปฐมภูมิ (Primary surfactants) สารลดแรงตึงผิวหลัก ได้แก่ สารซักฟอก (Detergents) ซึ่งทำหน้าที่ทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะ สารซักฟอกที่ใช้เป็นสารหลักในสูตรแชมพู ความเข้มข้นที่ใช้อยู่ในช่วงประมาณ ร้อยละ 12 – 25 ขึ้นกับชนิดของแชมพู ซึ่งมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติเหมาะสมต่าง ๆ กันไป แต่ไม่มีสารใดมีคุณสมบัติสมบูรณ์ดีทั้งหมด จึงอาจใส่สารชำระล้างหลายชนิดรวมกัน มีดังนี้
- สารซักฟอกประจุลบ (Anionic detergents) สารซักฟอกประจุลบในกลุ่มนี้เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการผลิตแชมพูมากที่สุด เนื่องจาก มีอำนาจในการชำระล้างดี เกิดฟองมาก แม้ในน้ำกระด้าง ทำให้ผมนุ่ม ราคาถูก แต่งกลิ่นง่าย ไม่หืนและล้างออกได้ง่าย แต่มีข้อเสีย คือ ค่อนข้างระคายเคืองต่อตา และทำให้ผมค่อนข้างแห้ง ผมฟูหลังสระและจัดรูปทรงได้ยาก ไม่สามารถแก้ไขได้โดยการเติมสารบางอย่างเพื่อเสริมสมบัติที่ขาดไป สารซักฟอกประจุลบที่นิยมนำมาใช้ แบ่งเป็นกลุ่ม ดังนี้
- Alkyl sulfate (Fatty alcohol sulfate) สารกลุ่มนี้สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้แทนสบู่ ในการเตรียมแชมพูมีสูตรหลัก คือ R-O-SO3 M+ โดยที่ M คือ โซเดียม, โพแทสเซียม หรือ อัลคาโนลามีน (Alkanolamine) ส่วน R คือ ส่วนที่ไม่ละลายน้ำของ Fatty alcohol ซึ่งมีคาร์บอน 10 – 18 อะตอม เกิดจากการรีดิวซ์กรดไขมันเป็นแอลกอฮอล์ แล้วเติมกลุ่มซัลเฟต (Sulfation) ด้วยซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (Sulfer trioxide) กรดไขมันที่นิยมใช้กันมี C12 (Lauryl) C14 (Myristyl) และ C16 (Palmitly) ผสมกันเพราะทำให้ฟองดีแม้ในน้ำกระด้าง ล้างออกได้ง่าย ผมลื่น อ่อนนุ่ม แต่สารกลุ่มนี้มีข้อเสีย คือ ขจัดไขมันของผิวหนังออกมากเกินไป และถ้าใช้ในความเข้มข้น มากกว่าร้อยละ 5 อาจทำอันตรายต่อม่านตาและกระจกตาได้ นอกจากนี้ ที่ความเป็นกรด – เบสต่ำ (น้อยกว่า 6.5) อาจจะทำให้เกิดไฮโดรไลซีส (Hydrolysis) ทำให้แชมพูเริ่มขุ่น จึงใช้ในผลิตภัณฑ์ แชมพูที่มีความเป็นกรดเบสต่ำ (Acid shampoo) ไม่ได้ ไม่เหมาะที่จะนำมาเตรียมแชมพูชนิดเหลวใสนิยมใช้เตรียมครีมแชมพู (Cream shampoo) หรือแชมพูชนิดข้น (Paste shampoo) การเติมเกลือโซเดียมคลอไรด์ ทำให้ความหนืดเพิ่มขึ้นได้ แต่ถ้าเติมมากเกินไปจะทำให้แชมพูขุ่น ตัวอย่างของสารกลุ่มนี้ ได้แก่ Sodium lauryl sulfate (TEXAPON K12) Ammonium lauryl sulfate (TEXAPONA 400)
- Alkyl ether sulfate (Alkyl polyethy glycol sulfate) สารในกลุ่มนี้สังเคราะห์ขึ้นเพื่อแก้ไขข้อเสียในการละลายของอัลคิลซัลเฟต จึงละลายน้ำได้ดีกว่า มีฤทธิ์อ่อนกว่า และทนต่อความเป็นกรด – เบส ได้กว่างกว่า มีสูตรหลัก คือ RO (CH3 CH2O) n 3 SO3M โดยที่ M คือ โซเดียม โพแทสเซียม แอมโมเนียมหรืออัลคาโนลามีน ตัว R คือ แขนที่ไม่ละลายน้ำของกรดไขมันที่มี C10 – 16 อะตอม และ n คือ 2 หรือ 3 โดยมีการเพิ่มกลุ่มของเอทิลลีนออกไซด์ (Ethylene oxide group) ลงในสูตร ทำให้สารกลุ่มนี้มีสมบัติการละลายน้ำดีขึ้น ฟองมากแต่ฟองเบา แตกง่าย มีอำนาจการชำระล้างดี เข้ากับสารอื่นในแชมพูได้กว้าง แต่มีข้อเสีย คือ เมื่อเก็บไว้นานอาจเกิดไฮโดรไลชีสที่อุณหภูมิห้อง ดังนั้น จึงต้องเก็บในที่เย็น Sodium lauryl Ether Sulfate ซึ่งเป็นสารลดแรงผิวหลักว่า เป็นสารให้ฟองที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในผลิตภัณฑ์อาบน้ำและแชมพู เนื่องจาก มีราคาไม่แพง ไม่มีสีและกลิ่น มีความคงตัวที่ช่วงความเป็นกรด – เบสกว้าง เก็บรักษาง่ายให้ฟองนุ่ม ดัดแปลงสัดส่วนในส่วนผสมได้ง่าย มีความหนืดในลักษณะเป็นเจล จึงนิยมใช้ Sodiumlauryl ether sulfate ในแชมพูชนิดเหลวใส
- สารซักฟอกประจุลบ (Anionic detergents) สารซักฟอกประจุลบในกลุ่มนี้เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการผลิตแชมพูมากที่สุด เนื่องจาก มีอำนาจในการชำระล้างดี เกิดฟองมาก แม้ในน้ำกระด้าง ทำให้ผมนุ่ม ราคาถูก แต่งกลิ่นง่าย ไม่หืนและล้างออกได้ง่าย แต่มีข้อเสีย คือ ค่อนข้างระคายเคืองต่อตา และทำให้ผมค่อนข้างแห้ง ผมฟูหลังสระและจัดรูปทรงได้ยาก ไม่สามารถแก้ไขได้โดยการเติมสารบางอย่างเพื่อเสริมสมบัติที่ขาดไป สารซักฟอกประจุลบที่นิยมนำมาใช้ แบ่งเป็นกลุ่ม ดังนี้
- สารลดแรงตึงผิวทุติยภูมิ (Secondary surfactants) สารลดแรงตึงผิวทุติยภูมิ ได้แก่ สารที่ช่วยเสริมสมบัติของสารลดแรงตึงผิวปฐมภูมิที่ขาดหายไปบางประการ เช่น ช่วยเพิ่มอำนาจการชำระล้าง เป็นต้น สารกลุ่มนี้ เป็นสารลดแรงตึงผิวที่ไม่นิยมใช้เดี่ยว ๆ ในสูตรของผลิตภัณฑ์ เพราะมีคุณสมบัติไม่เต็มที่ตามที่ต้องการ เช่น อำนาจการชำระล้างไม่เพียงพอ หรือมีอำนาจการชำระล้างดี แต่เกิดฟองน้อย หรือทำให้เกิดความระคายเคือง เป็นต้น ซึ่งสารลดแรงตึงผิวทุติยภูมิ ประกอบด้วย
- สารซักฟอกประจุบวก (Cationic detergents) เป็นสารในกลุ่มที่ไม่นิยม ใช้นำมาเป็นสารชำระล้างปฐมภูมิ เพราะระคายตาและผิวหนัง จึงใช้ในความเข้มข้นไม่เกินร้อยละ 5 อำนาจการชำระล้างและการเกิดฟองน้อยกว่าชนิดประจุลบ ล้างฟองออกได้ยาก อาจทำให้สิ่งสกปรกเกาะอีกในขณะสระ จึงไม่นิยมใช้เป็นสารหลักในแชมพูแต่จะใช้เป็นสารช่วยปรับสภาพเส้นผมให้มีประจุลบมากเกินไป
- สารซักฟอกสองประจุ (Amphoteric detergents) เป็นสารที่มีทั้งประจุบวกและประจุลบในโมเลกุลเดียวกัน การแสดงประจุบวกหรือลบนั้นขึ้นอยู่กับความเป็นกรด – เบส ของสารละลาย สารซักฟอกสองประจุจะมีสูตรหลัก คือ (CH3)3 N-CH2COO+ เป็นสารพวก Quaternary ammounium compound ที่มี C12-18 อะตอม สารพวกนี้ในสภาพเป็นด่างจะแสดงตัวเป็นประจุลบ อำนาจชำระล้างขึ้นอยู่กับความยาวของสายโซ่อัลคิล (Alkyl chain) แต่ทำให้ฟองลดน้อยลง ข้อดีของสารกลุ่มนี้ คือ ไม่เป็นอันตรายต่อเยื่อตา เหมาะที่จะนำไปใช้เป็นสารเสริมในแชมพูสำหรับเด็ก และแอโรซอลแชมพู เพราะไม่กัดกร่อนภาชนะโลหะ
- สารเสริมผลิตภัณฑ์แชมพู (Shampoo additives) สารเสริมผลิตภัณฑ์แชมพูเป็นสารที่ใส่เพิ่มในสูตรเพื่อให้แชมพูมีลักษณะสวยงามน่าใช้ และมีสมบัติพิเศษออกไป สารเสริมผลิตภัณฑ์แชมพู ได้แก่
- สารปรับสภาพเส้นผม (Conditioners) เป็นสารที่ช่วยปรับสภาพให้นิ่มเป็นเงาม ไม่หยาบแห้ง โดยการไปเคลือบเงาแก่เส้นผมและทำให้นุ่มมือไม่หยาบแห้ง เช่น ลาโนลีน กลีเซอรอล โพรพิลีนไกลคอล Isoproply myristate และ butyl palmitate ส่วนสารจากธรรมชาติ เช่น ไข่แดง น้ำผึ้ง และยังรวมถึงการใช้สารลดแรงตึงผิวประจุบวกเช่น Stearyl dimethyl benzyl ammounium chloride (Triton X3400) ซึ่งทำหน้าที่ลดประจุบนเส้นผมทำให้ผมหวีง่ายไม่พันกันยุ่ง โดยใช้ความเข้มข้นร้อยละ 1 – 2 ส่วน Hydrolyzed Gelatins และ Polyvinylpyrolidone (PVP) อาจจะถูกเติมลงไปเพื่อให้เกิดการดูดซับเข้าไปในส่วนของเส้นผมที่จะถูกทำลายให้กลับคืนสู่สภาพปกติ
- สารเพิ่มฟอง (Foam booster of foam stabilizer) เป็นสารที่เติมลงไปเพื่อเพิ่มปริมาณความหนาแน่นและความคงทนของฟองและช่วยเพิ่มเนื้อให้กับแชมพู นิยมให้สารพวก Fatty acid alkanolamides, Amine oxides กลไกการเพิ่มฟองของสารเหล่านี้ มีผู้อธิบายว่า ทำให้เกิดสารประกอบเชิงซ้อนกับสารลดแรงตึงผิวหลักที่พื้นผิวของน้ำกับอากาศ ทำให้เกิดฟองมากขึ้น
- สารช่วยทำให้หนืดข้น (Thickening agent) เป็นสารที่ใช้สำหรับเพิ่มความหนืดให้แชมพูมีความหนืดพอเหมาะตามต้องการ เช่น กัมธรรมชาติ (Natural gum) กัมสังเคราะห์ (Synthetic gum; MC, CMC,Carbopol) PVP, Fatty acid alkanolamide, กลีเซอรอลเสตรียเรต (Glycerol stearate) แชมพูที่มีสารชำระล้างปฐมภูมิเป็นพวก Primary Alkylsulfate อาจใช้เกลืออนินทรีย์ ได้แก่ โซเดียวคลอไรด์ แอมโมเนียคลอไรด์และแอมโมเนียมซัลเฟต แต่ถ้าใช้มากเกินไป จะได้เนื้อครีมแชมพูนิ่มเละ
- สารกันเสีย (Preservatives) เป็นสารที่ทำหน้าที่ป้องกันการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ เนื่องจากสารชำระล้างที่ใช้เป็นสารหลักในผลิตภัณฑ์แชมพูเป็นอาหารที่ดีเหมาะสมต่อการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ และมีการตรวจพบเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะพวกแกรมลบในผลิตภัณฑ์ แชมพูที่จำหน่ายในท้องตลาดสูงถึง 106 เชื้อต่อกรัม ซึ่งถือว่า ไม่ปลอดภัยตามข้อกำหนดของ CTPA (Cosmetic, Toietry and Perfumery Association) ของประเทศอังกฤษ ดังนั้นการใช้สารกันเสียจึงมีความจำเป็นมา นอกจากนี้ สารกันเสียยังช่วยในเรื่องการคงตัวของสารสกัดจากสมุนไพรด้วย การใช้สารกันเสียมีข้อควรระวัง คือ ปัญหาความเข้ากันไม่ได้ของสารพวกมีประจุและไม่มีประจุบางตัว ซึ่งทำให้เกิดการตกตะกอน หรือความหนืดเปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างของสารกันเสีย ได้แก่ ฟอร์มาลีน (Formaldegyde) เป็นสารกันเสียที่มีประสิทธิภาพมาก ละลายในน้ำได้ดี มีประสิทธิภาพดีในช่วงความเป็นกรด – เบสที่กว้าง ราคาถูก เข้ากันได้กับสารอื่นในแชมพูครอบคลุมเชื้อจุลินทรีย์ได้กว้างขวาง แต่ข้อเสีย คือ ระเหยง่าย มีกลิ่น และอาจทำปฏิกิริยากับสีและกลิ่นที่ใช้ในแชมพูจึงทำให้ฟอร์มาลินได้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ในกรณีที่ใช้สารกันเสียตัวอื่นไม่ได้ผลแล้วเท่านั้น นอกจากนั้น ยังนิยมใช้โบรนิด๊อกซ์ (Bronidox) ซึ่งเป็นสารกันเสียที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ Psedomonas aeruginosae ได้ดี มีพิษน้อย ไม่ทำให้ระคายเคือง
- สารแต่งสีและสารแต่งกลิ่น (Colorant and Perfumes) สารแต่งสีและน้ำหอม แต่กลิ่นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผลิตภัณฑ์แชมพูเพื่อให้มีลักษณะน่าใช้ สีที่ใช้ควรเป็นสีที่ละลายน้ำได้ มีความปลอดภัย ทนต่อกรด – เบส แสง สามารถเข้ากับสารอื่นได้ กลิ่นควรประกอบด้วย Volatile oil extender และ Fixative เพื่อให้กลิ่นติดทนทานนานบนเส้นผม