ราวพุทธศตวรรษที่ 3 ในแถบอินเดียภาคเหนือได้เริ่มปรากฏรูปเคารพของพระสทาศิวะ (พระศิวะ) ในรูปของมุขลึงค์ ซึ่งพระสทาศิวะในลักษณะของมุขลึงค์ดังกล่าว ได้มีปรากฏเรื่อยมาจนถึงสมัยราชวงศ์คุปตะ ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 รูปเคารพพระสทาศิวะกลับได้ไปปรากฏความนิยมอยู่ทางอินเดียใต้ ในขณะที่อินเดียเหนือในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ถือได้ว่า เป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อ เนื่องจาก ได้ปรากฏพระสทาศิวะใน 2 รูปแบบ คือ 1) แบบที่ถูกปรับเปลี่ยนโดยเอาลักษณะของ “ลึงค์” ออกเหลือไว้เพียง “มุข” จำนวน 3 หน้า และ 2) แบบที่ปรากฏเป็นรูปเคารพเต็มองค์ จนในที่สุดราวพุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา สมัยราชวงศ์ปาละ – เสนะ แถบแคว้นแบงกอล ความนิยมเคารพบูชาพระสทาศิวะ ก็ได้ย้อนกลับไปยังอินเดียเหนืออีกครั้ง โดยรูปเคารพพระสทาศิวะตั้งแต่ช่วงเวลานี้เป็นต้นมานั้น ได้ปรากฏอิริยาบถแปลกใหม่ โดยลักษณะบางอย่างอาจไม่มีกล่าวถึงในคัมภีร์เลยก็เป็นได้ ซึ่งนี่สะท้อนความนิยมขั้นสูงสุดของการเคารพบูชาพระสทาศิวะในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ โดยที่รูปเคารพพระสทาศิวะดังที่ได้กล่าวถึงไปทั้งหมดนั้น มีรายละเอียดดังนี้
อินเดียภาคเหนือ ระยะแรก (พุทธศตวรรษที่ 3) ในระยะแรกสุดนั้น รูปเคารพพระสทาศิวะ (พระศิวะ) มักปรากฏอยู่ในรูปของ “มุขลึงค์” ดังตัวอย่างของมุขลึงค์ที่เมืองอัลลาฮาบัค รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ที่มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 3 ตรงกับสมัยราชวงศ์ศุงคะ โดยมุขลึงค์ดังกล่าวมีพระพักตร์ปรากฏอยู่ทั้งสี่ทิศและอีกหนึ่งพระพักตร์ตรงยอดบนสุด รวมเป็น 5 พระพักตร์ หรือที่เรียกกันว่า ปัญจมุขลึงค์ ซึ่งปัญจมุขลึงค์ที่ถูกสลักขึ้นนี้ มีลักษณะที่ประกอบกันขึ้นเป็นภาคของพระสทาศิวะที่เป็นภาคสุงสุดและยิ่งใหญ่ที่สุด โดยพระสทาศิวะนั้น จะเป็นผู้ที่อยู่เหนือเกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ปุถุชน เฉียบแหลม สว่าง และโชติชวงชัชวาล
อินเดียภาคใต้ (พุทธศตวรรษที่ 13 – 14) ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 ความนิยมในการสร้างรูปเคารพพระสทาศิวะได้ย้ายไปปรากฏยังอินเดียวใต้ ในขณะที่ไม่ปรากฏรูปเคารพดังกล่าวในอินเดียเหนือแต่อย่างใด ดังตัวอย่างของ “พระตรีมูรติ” ที่ถ้ำเอเลฟันตะ โดยศาสตราจารย์ ดร. ผาสุก อินทราวุธ กำหนดว่าเป็นศิลปะอินเดียสมัยหลังคุปตะ ซึ่งที.เอ.โคพินาถ เสนอว่า รูปเคารพดังกล่าวไม่น่าจะเป็นพระตรีมูรติ อันเป็นอีกพระนามหนึ่งของพระสทาศิวะ โดยให้เหตุผลดังนี้
- ไม่มีคัมภีร์อาคม หรือปุราณะใดที่ระบุประติมานวิทยาได้ตรงกับลักษณะรูปแบบที่ปรากฏ
- หากนี่เป็นพระตรีมูรติจริง จะต้องมีเศียรหนึ่งเป็นพระวิษณุ ซึ่งทรงกีรีฏมงกุฎ แต่จากรูปแบบที่ปรากฏ ทั้งสามเศียรต่างก็ทรงชฎามงกุฎเหมือนกันหมด
- พระพรหมควรจะมี 4 เศียร ไม่ใช่เศียรเดียวดังรูปแบบที่ปราฏ
- ความเป็นพระสทาศิวะ น่าจะสอดคล้องกับรูปสลักอื่น ๆ ภายในถ้ำนี้ ที่ต่างก็เป็นรูปสลักเกี่ยวกับพระศิวะ
ประติมากรรมพระสทาศิวะในรูปมนุษย์ยุคแรก ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 โดยค้นพบประติมากรรมชิ้นนี้ในพื้นที่รัฐทมิศนาฑูในปัจจุบัน เป็นรูปสลักหินทรายซึ่งถูกทำลายไปบางส่วน เหลือเพียงพระหัตถ์บางส่วนไว้ โดยพระหัตถ์ขวาที่เหลืออยู่นั้น ทรงฑมรุ ดาบ และแสดงปางอภัยมุทรา ส่วนในพระหัตถาซ้ายทรงตรีศูลและหอก
อินเดียภาคเหนือ ระยะหลัง (พุทธศตวรรษที่ 15 – 16) ในราวพุทธศตวรรษที่ 15 ความนิยมพระสทาศิวะ (พระศิวะ) ก็ได้ย้อนกลับขึ้นมายังอินเดียเหนืออีกครั้ง โดยเมื่อนักโบราณคดีทำการค้นพบรูปประติมากรรมของพระสทาศิวะและนำไปเก็บรักษา ณ พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ในประเทศอินเดียและประเทศรอบข้างแล้ว กลับพบว่า ชิ้นผลงานพระสทาศิวะจำนวนหลายชิ้นที่ไม่ได้ถืออาวุธตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ เช่น ประติมากรรมพระสทาศิวะขนาดเท่าคนจริงชิ้นแรก ๆ ที่มีขชุรโหนั้น เป็นรูปเคารพพระสทาศิวะที่ประทับนั่งสุขาสนะ ห้อยพระบาทซ้ายบนดอกบัว รูปสลักชิ้นนี้สลักเป็นรูปบุรุษที่มีพุงใหญ่ มองเห็นสามหน้า สวมสร้อยคอ สวมสายญัชโยปวีต และทรงถือศรีวัตสะ ซึ่งไม่มีคัมภีร์ใดได้กล่าวไว้มาก่อน
ทั้งนี้ ยังมีรูปสลักพระสทาศิวะ (พระศิวะ) ที่มีรูปร่างที่แตกต่างกันไปอีกหลายรูปแบบดังเช่น พระสทาศิวะที่มีสี่พระบาท หรือ “สทาศิวะจตุรบาท” จากวัดกัณฑริยมหาเทพ เมืองขชุรโห พระสทาศิวะ (พระศิวะ) สลักชิ้นนี้ มีความพิเศษอยู่ตรงที่ เป็นรูปสลักของพระสทาศิวะ (พระศิวะ) ที่มีทั้งหมด 4 พระบาท โดยที่พระบาทคู่หน้าจะประทับนั่งขัดสมาธ และพระบาทคู่หลังจะประทับนั่งห้อยพระบาทแบบปรลัมพปาทาสนะ โดยกำหนดอายุชิ้นงานนี้อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15
อีกชิ้นหนึ่งที่มีความสำคัญ คือ รูปสลักพระสทาศิวะ (พระศิวะ) กับศักติ โดยชิ้นงานดังกล่าวนี้ จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา โดยสลักให้เห็น 3 พระพักตร์ แบ่งเป็นพระพักตร์ของไภรวะ มหาเทวะ และอุมาพักตร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องและอิทธิพลของรูปสลักที่มักจะรู้จักกันในชื่อ “ตรีมูรติ” ที่ถ้ำเอเลฟันตะ รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย หรือจะเป็นรูปสลักพระสทาศิวะครึ่งองค์ที่พบในรัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย
โดยรูปสลักพระสทาศิวะ (พระศิวะ) กับศักตินั้น เป็นรูปสลักพระสทาศิวะ (พระศิวะ) 10 พระกร ทรงตรีศูลที่มีงูเห่าพันรอบ ดาบ ถ้วย ลูกประคำ และลูกศร ส่วนในพระหัตถ์ซ้ายนั้น ทรงโล่ คันธนู และทรงโอบศักติที่ประทับบนพระเพลาไว้ใกล้ ๆ พระอุระ ทรงชฎามงกุฎที่ประดับด้วยหัวกระโหลก อีกทั้งยังมีโคนนทิหมอบอยู่เบื้องพระบาท ทั้ง ๆ ที่ตามคัมภีร์นั้น ได้ระบุไว้ว่า สัตว์พาหนะของพระสทาศิวะ (พระศิวะ) คือ “ละมั่ง” ซึ่งนักวิชาการได้กำหนดอายุชิ้นงานนี้ไว้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 จะเห็นได้ว่า พระสทาศิวะ (พระศิวะ) ได้รับความนิยมมากทั่วทั้งประเทศอินเดีย โดยที่ความนิยมดังกล่าว ได้แผ่ขยายข้ามไปยังดินแดนใกล้เคียงอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาจักรขอมโบราณ จะเห็นได้จากร่องรอของอารยธรรมฮินดูที่กระจายตัวให้เห็นทั่วเมืองพระนคร[1]
[1] ขอขอบคุณที่มาบทความ การนับถือพระสทาศิวะจากอินเดียสู่เขมรโบราณ และอิทธิพลสืบเนื่องที่มีต่อกรุงศรีอยุธยา โดยนายสฏฐภูมิ บุญมา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์