ไฟนรก 7 กองสิ่งที่เราไม่ควรไปล่วงเกินโดยเด็ดขาด

ไฟนรก 7 กอง ก็คือ สิ่งเจ็ดสิ่งที่เป็นตัวเลขสะท้องบุญและสะท้อนบาปแก่เราอย่างมากมายมหาศาล พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากเราทำบุญกับผู้ที่เป็นไฟนรกแล้ว ก็จะได้ผลบุญเป็นอันมโหฬาร แต่ถ้าเราทำบาปต่อไฟนรกเหล่านั้นแล้ว ก็จะได้ผลบาปอย่างหนักหนาแสนสาหัส จนถึงกับต้องลงนรกอย่างทุกข์ทรมานและยาวนาน แม้จะมีศีลห้าที่จะช่วยให้เกิดเป็นมนุษย์ แต่หากไม่ล่วงเกินไฟนรกเข้าแล้ว ก็ย่อมมีนรกเป็นที่รองรับอย่างแน่นอน ดังนั้น ไฟนรก 7 กองจึงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรไปล่วงเกินโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วย กาย วาจา หรือใจ

ไฟนรกกองที่ 1 ได้แก่ “พระพุทธเจ้า”

พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ที่มีบุญบารมีมากที่สุดในโลก และเป็นผู้เดียวในโลกที่มีสัพพัญญุตญาณ (ญาณที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลโดยที่ไม่มีที่สิ้นสุด) พระพุทธเจ้ายังเป็นนายกของโลกตามตำแหน่งของกฎธรรมชาติที่ได้มีกำหนดไว้ ซึ่งหากผู้ใดก็ตามที่ได้ทำบุญกุศลกรรมกับพระพุทธเจ้า บุคคลผู้นั้นจะต้องได้รับอานิสงส์ผลบุญมากที่สุดในโลก ซึ่งหากมนุษย์คนใดได้ไปทำทานด้วยแล้ว ก็จะได้ผลบุญมากเท่ากับทำทานแด่พระพุทธเจ้าเป็นไม่มี แต่หากว่าผู้ใดทำอกุศลกรรมกับพระองค์ บุคคลนั้นก็จะต้องได้รับกรรมมากที่สุดในโลก ที่เรียกว่า “อนันตริยกรรม” ซึ่งจะเป็นกรรมที่หนักที่สุดในโลกนั่นเอง

ไฟนรกกองที่ 2 ได้แก่ “พระธรรม”

“พระธรรม” เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ถ่ายทอดออกมาจากการรู้ซึ่งเป็นความจริงของกฎธรรมชาติทุกอย่าง ซึ่งไม่มีผู้ใดในโลกที่จะฝืน หรือจะเปลี่ยนแปลงกฎธรรมชาติไปได้ แม้แต่พระพุทธเจ้า หากมีผู้ใดก็ตามที่ไม่เชื่อในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถือว่า บุคคลนั้น เป็นผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฎฐิ) จะทำให้บุคคลผู้นั้นจะได้รับความเดือดร้อนในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และตายแล้วสูญ ผู้ที่มีความเชื่อเช่นนี้ เมื่อตายไปแล้วก็ต้องไปเกิดในอบายภูมิอย่างแน่นอน และหากผู้นั้นยังได้สอนให้ผู้อื่นเชื่อตามนี้ได้ด้วยอีกแล้ว เมื่อตายไปจะต้องตรงไปเกิดที่โลกันตนรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไฟนรกกองที่ 3 ได้แก่ “พระสงฆ์

“พระสงฆ์” คือ พระอริยสงฆ์ที่ตรัสรู้ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว ได้แก่ พระโสดาบัน พระสาทาคามี พระอนาคามี หรือขั้นสูงสุด คือ “พระอรหันต์” เมื่อเราได้ทำบุญกับพระอริยสงฆ์เราก็จะได้บุญมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน แต่ถ้าใครก็ตามไปล่วงเกินทำบาปกับท่าน ก็จะต้องได้รับผลกรรมอย่างรุนแรง และมหาศาลเช่นเดียวกัน

ไฟนรกกองที่ 4 ได้แก่ “บิดามารดาผู้ให้กำเนิด”

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า “พ่อแม่” คือ “พระอรหันต์ของลูก” หากผู้ใดก็ตามที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ถือได้ว่า ผู้นั้นมีเป็นผู้มีบุญวาสนาเป็นอย่างมาก เพราะว่าสามารถทำบุญกับพ่อแม่ได้ และจะได้รับผลบุญเทียบเท่ากับพระอรหันต์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่า อาจจะได้ผลบุญช้ากว่าทำบุญกับพระอรหันต์ซักหน่อย สาเหตุที่ทำให้ได้บุญมาก ก็เพราะว่าพ่อแม่อยู่ในฐานะของผู้มีพระคุณเป็นอย่างมากมาย มหาศาลต่อลูกตามกฎของธรรมชาติ แม้ว่าพ่อแม่จะให้แต่กำเนิดเท่านั้น แต่มิได้เลี้ยงดูเลยก็ตาม ก็ยังถือว่า บุญคุณของพ่อแม่นั้นหาที่สุดมิได้ และถ้าใครก็ตามที่ได้ล่วงเกินพ่อแม่ด้วย กาย วาจา ใจ ผู้นั้นย่อมจะได้รับกรรมนั้นอย่างมหาศาลเทียบเท่ากับล่วงเกินพระอรหันต์กันเลยทีเดียว และว่ากันว่า เพียงแค่เถียงพ่อแม่ หรือกระแทกของใส่พ่อกับแม่ ให้เอาไม้หน้า 3 ไปตีหัวคนข้างบ้านก็ยังบาปน้อยกว่า

ไฟนรกกองที่ 5 ได้ “ครูบาอาจารย์”

ครูบาอาจารย์เป็นผู้ที่มีความสำคัญมากตามกฎของธรรมชาติ โดยเฉพาะอาจารย์ผู้ที่สั่งสอน หรือเขียนตำราให้เราอ่านแล้ว ทำให้เรารู้ธรรมะ ถ้าผู้ใดเกิดมาแล้วไม่รู้ธรรมะอะไรเลย ผู้นั้นย่อใช้ชีวิตอย่างผิด ๆ ถูก ๆ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาปและทำทุกอย่างตามความคิดของตัวเองว่า ถูก เมื่อตายไปเขาย่อมไปเกิดในอบายภูมิ ซึ่งมีนรกเป็นที่ต่ำที่สุด แต่เมื่อใดก็ตามที่เขามีบุญวาสนาได้พบอาจารย์ที่มีความรู้ในธรรมะตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เขาผู้นั้นก็เสมือนว่า ได้เกิดใหม่ ทั้งที่ยังไม่ตาย เขาจะรู้ว่า การกระทำใดเป็นบุญและการกระทำใดเป็นบาป เขาจะสามารถตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมตลอดชีวิต ทำให้ได้รับความสุขความเจริญทั้งในชาตินี้ เมื่อตายไปก็จะมีโลกสวรรค์เป็นที่รองรับ ทั้งนี้ ก็ด้วยพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ฉุดเขาพ้นจากนรกนั่นเอง และการที่เราเคารพครูบาอาจารย์จะทำให้เราเป็นผู้มีความสำเร็จเร็วและเป็นผู้มีปัญยามากอีกด้วย ดูอย่างเช่น พระสาริบุตร เมื่อได้ฟังธรรมจากพระอัสสะชิ ก็เกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระสารีบุตรรู้บุญคุณของพระอัสสะชิที่ทำให้ตนได้รู้จักธรรมะที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา จึงยกย่องนับถือไว้เป็นอาจารย์ เมื่อพระสารีบุตรอยู่ที่ใดก็ตามก่อนจะจำวัด (นอน) จะต้องหันศีรษะไปทางที่พระอัสสะชิอยู่ แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ถวายสิ่งที่อยู่เหนือเศียรเกล้าของตนเพื่อบูชาพระอาจารย์ จึงไม่น่าแปลกเลยที่ท่านเป็นอัครสาวก ผู้เป็นเลิศด้านผู้มีปัญญามาก

ไฟนรกกองที่ 6 ได้แก่ “สมณะชีพราหมณ์”

สมณะหรือพระที่บวชในพระพุทธศาสนา โดยปฏิบัติตามพระวินัย คือ รักษาศีล 227 ข้อ เรียกว่า “สมมติสงฆ์” หลายคนเข้าใจว่า สมมติสงฆ์ก็คือ “พระสงฆ์” แท้จริงแล้ว พระสงฆ์ หมายถึง พระอริยะสงฆ์ที่บรรลุธรรมตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์เท่านั้น ส่วนพระทั่วไปที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมนั้นเรียกว่า สมมติสงฆ์ แม้จะเป็นสมมติสงฆ์แต่ถ้ารักษาศีลดี และปฏิบัติธรรมเพื่อความเป็นไปตามทางแห่งพระอรหันต์แล้ว แต่ถ้าเราไปทำบาปกับท่าน เราก็จะได้ผลบาปนับไม่ถ้วนเช่นกัน หลายคนที่ไม่เข้าใจเห็นพระบางรูปกำลังทำชั่วอยู่ เช่น เดินช็อปปิ้ง ซื้อซีดีโป๊ ก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิในใจ หรือต่อว่าด่าทอต่าง ๆ นานา ซึ่งการไปตำหนิติเตียนหรือด่าว่าพระสมณะ ชี พราหมณ์ นั้นถือเป็นบาปที่ต้องได้รับกรรม เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะทำบุญกับพระรูปใดก็ได้ แต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตำหนิติเตียนหรือด่าว่าพระสมณะ ชี พราหมณ์ นั้น ถือเป็นบาปที่ต้องได้รับกรรม เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะทำบุญกับพระรูปใดก็ได้ แต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปด่าว่าใคร เพราะเป็นการไปเบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง

ไฟนรกกองที่ 7 ได้แก่ “สามี”

ผู้ชานนั้นจะมีไฟนรกแค่ 6 กอง แต่ผู้หญิงที่มีสามีจะมีไฟนรก 7 กอง เพราะสามีนั้นเปรียบเสมือนพ่อคนที่ 2 ของภรรยา สามีจึงเป็นไฟนรกของภรรยาตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นผู้หญิงคนใดที่มีสามีไม่ดี ถือว่า เป็นความโชคร้ายของผู้หญิงคนนั้นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาก เพราะจมีโอกาสทำกรรมหนัก จากการล่วงเกินไฟนรกนั่นเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *