เรื่องเล่าเกี่ยวกับผี ปอบ

ในเมืองไทยมักจะสับสนระหว่าง “ปอบ” กับ “กระสือ” อยู่เสมอ หรือบางครั้งใช้สลับกันโดยคิดว่า เป็นชนิดเดียวกันก็มี ตามความเชื่อของคนเขมรว่า ปอบหรืออาบนั้น มักจะเกิดในตัวหนึ่งที่เรียนมนต์เสน่ห์มหานิยม เมื่อใช้มนต์เสน่ห์นั้นนาน ๆ ไป มนต์เสน่ห์นั้นจะกลายเป็นปอบเข้าสิงอยู่ในตัวของคนนั้น บางท่าน ผู้หญิงที่เรียนมนต์เสน่ห์แล้วประพฤติผิดข้อห้าม มนต์เสน่ห์นั้นจะกลายเป็นปอบเข้าไปสิงอยู่ในร่าง

มีเรื่องเล่ากันว่า ยายแก่ในหมู่บ้านคนหนึ่ง (จังหวัดบุรีรัมย์) เป็นปอบ เพราะเรียนมนต์อาคมที่ทำให้ปลูกข้าวออกรวงมีผลดก ดังนั้น ที่นาของแกจึงได้ผลผลิตมากกว่านาในพื้นที่ใกล้เคียง ต่อมา ทำผิดข้อห้ามที่จะต้องถือ มนต์อาคมนั้น จึงกลายเป็นปอบสิงอยู่ที่ตัวแก คนเขมร เชื่อว่า เวลาคนที่ถูกปอบสิงไม่พอใจหรือโกธรใคร วิญญาณปอบในตัวจะออกไปเข้าคนนั้น ทำให้จุกเสียดปวดท้อง พร่ำเพ้อหรือหมดสติไปเลยก็มี ดังนั้น จึงมักไม่มีใครกล้าทำให้คนเจ้าปอบไม่พอใจหรือทำให้โกธร เพราะกลัวอันตรายจากปอบ วิธีการดูว่า ผู้ใดมีวิญญาณปอบสิงอยู่ ให้สังเกตดูที่ตา เพราะดวงตาจะไม่มีแววตาหรือไม่มีเงาจากภายนอกปรากฏว่า ตัวเองเป็น ปอบ

เล่ากันว่า เวลากลางคืน วิญญาณปอบจะออกจากร่างไปหากินของโสโครกต่าง ๆ หรือกินลูกกบลูกเขียด มักจะปรากฎรูปร่างเป็นดวงไฟสีเขียวหรือม่วงเขียวใหญ่กว่าแสงหิ่งห้อย แต่ไม่กระพริบ จะมีแสงสว่าโร่ ล่องลอยเรี่ยพื้นดินไป ยกเว้นตอนที่หลบหลีกอันตราย จะสามารถดับแสงไฟได้ คนที่เคยเห็นเล่าให้ฟังว่า วิญญาณปอบนั้นจะมีไส้ห้อยรุงตังติดไปด้วย ส่วนที่เป็นแสงสีเขียวนั้นเป็นส่วนตัว บางคนบอกว่า มีลักษณะกลม ๆ แต่บางคนบอกว่า มีลักษณะเป็นใบหน้าคน ไส้ที่ห้อยรุงรังนั้นเป็นไส้ของเจ้าของร่างนั่นเอง ถ้าในระหว่างที่หากินอยู่ ไส้นั้นเกิดไปติดพงหนามหรือถูกผู้มีวิชาอาคมแก่กล้าจับมัดเอาไว้ คนผู้เป็นเจ้าของร่างจะตายทันที

แหล่งที่วิญญาณปอบชอบไปหากินนั้น นอกจากจะหากินลูกกบลูกเขียดตามท้องนาแล้ว มักจะชอบไปยังบ้านที่มีการคลอดลูกใหม่ ๆ เพราะจะมีเลือดไหลลงไปใต้ถุนบ้านหรือใต้แคร่ที่คลอดลูก เชื่อกันว่า ถ้าปอบได้กินเลือดนั้นแล้ว ผู้ที่คลอดลูกนั้นจะเจ็บป่วยและอาจถึงตายทั้งแม่ทั้งลูกได้ ดังนั้น เมื่อมีการคลอดลูกในบ้านแล้ว คนในบ้านมักจะเชิญหมออาคมมาทำพิธี พร้อมกับล้มสายสิญจน์รอบบ้านป้องกันอันตรายจากภูติ ผี ปีศาจ หรือใช้กิ่งไม้ที่มีหนามสะบนกองเลือดป้องกันมิให้ปอบมากิน

อาการของคนที่ถูกปอบเข้าทำอันตรายนั้น จะมีอาการจุกเสียด ปวดท้องกระวนกระวาย รักษาด้วยยาต่าง ๆ จะไม่หาย เมื่อดูที่ลูกตาของคนป่วย จะพบว่า มีอาการกลับเกลือกผิดปกติ เมื่อรู้ว่า วิญญาณปอบเข้า ต้องรีบไปเชิญหมออาคมมาทำพิธีไล่ปอบ ถ้าหมออาคมแข็งกล้ากว่าปอบ จะใช้วิธีมัดปอบ โดยเสกเส้นด้ายผูกข้อมือ ข้อเท้าและคอของคนป่วย หรือสเกปูนกินหมากป้ายคาดรอบข้อมือ ข้อเท้าของคนป่วย พร้อมทั้งสวดคาถาอุปคุต เป็นการสกัดวิญญาณปอบไม่ให้หนีออกไปได้ จากนั้น จึงเอาหัวไพลที่เหลาแหลมจิ้มไปยังส่วนต่าง ๆ ของคนป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามข้อพับต่าง ๆ ซึ่งวิญญาณปอบมักหนีไปซ่อนอยู่ เมื่อจี้ถูกวิญญาณปอบคนป่วยจะร้องเสียงดังอย่างเจ็บปวดและร้องขอชีวิตจากนั้นแล้วแต่หมออาคมจะใช้วิจารณญาณว่า จะทรมานแล้วปล่อยหรือจะทำลายทิ้ง ถ้าทำลายวิญญาณปอบทิ้ง คนที่เป็นเจ้าของร่างปอบจะต้องตายไปด้วย ดังนั้น ส่วนมากหมออาคมจะใช้วิธีการทรมานให้เจ็บปวดจะได้เข็ดหลาบแล้วปล่อยไป โดยบังคับให้ออกทางทวารหนักของคนป่วย เพราะถ้าออกทางทวารหนักวิญญาณปอบจะเสื่อมฤทธิ์ไม่สามารถทำอันตรายใครได้อีก และเชื่อกันว่า ปอบและเจ้าของร่างมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก เมื่อเจ้าของร่างตายแล้ว ปอบจะตายไปด้วย

โดยทั่วไปแล้ว “ผีปอบ” มักเข้าสิงคนธาตุอ่อนหรือคนที่กำลังเจ็บป่วย ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเชื่อที่ว่า คนที่ถูกปอบเข้าสิงนั้นจะมีอาการเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุและเสียชีวิตในที่สุด โดยเชื่อกันว่า เกิดจากการถูกปอบที่สิงอยู่กินจากภายในและในขณะถูกเข้าสิงบุคคลผู้นั้นจะมีอาการมึน ๆ งง ๆ หรือไม่รู้สึกตัวเลย

ตามความเชื่อของคนเขมร “กระสือ” มีสถานภาพสูงส่งกว่าปอบ เพราะว่า กระสือเกิดจากผู้ที่มีอาคมแก่กล้า ที่เรียนมนต์อาคมแล้วทำผิดข้อห้ามหรือไม่สามารถควบคุมมนต์อาคมที่ตัวเองเรียนได้ ภาษาเขมร អាប. อ่านว่า แบกธะมบ คือ แตกกลายเป็นกระสือ รูปร่างของกระสือหรือธะมบ ก็มีลักษณะเป็นแสงเหมือนปอบ แต่ไม่ได้หากินของโสโครกเหมือนปอบ

วิญญาณกระสือไม่จำเป็นจะต้องสิงอยู่กับเจ้าของร่างเหมือนปอบเสมอไป ผู้ที่มีอาคมกล้าแข็งเมื่อรู้ว่า ตนเองมีวิญญาณกระสือสิงอยู่ จะใช้มนต์อาคมย้ายกระสือนั้นไปอยู่ในตลับหรือผอบที่บรรจุขี้ผึ้งก็ได้ แล้วเอาไปซ่อนไว้ตามค่าคบไม้ใหญ่ เมื่อถึงเวลากลางคืนวิญญาณกระสือจะออกจากตลับหรือผอบขี้ผึ้งไปหากินเอง และถึงแม้ว่า เจ้าของกระสือจะตายไป แต่วิญญาณของกระสือก็จะยังคงอยูที่ตลับหรือผอบขี้ผึ้งนั้น ไม่ได้ตายตามไปเหมือนวิญญาณปอบ ดังนั้น ในสมัยเป็นเด็กจึงมักถูกตักเตือนเสมอว่า ถ้าพบตลับหรือผอบขี้ผึ้งเก่า ๆ อยู่ตามค่าคบไม้หรือในที่ลับตา ห้ามเปิดออกดูเด็ดขาด เพราะอาจจะได้รับอันตรายจากกระสือได้

มีกระสืออีกประเภทหนึ่งภาษาเขมรอ่านว่า ธมบกุมร็วง แปลว่า กระสือโสโครก เป็นหมออาคมประเภทหนึ่งไม่ค่อยทำอันตรายใคร เพียงแต่ชมชอบของโสโครกต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซากศพมนุษย์จะชื่นชอบเป็นพิเศษ หมออาคมพวกนี้จะคอยดูว่า เมื่อมีคนตาย เขาจะเอาซากศพไปผังไว้ที่ไหน หลังจากฝังศพได้ประมาณ 3 – 4 วัน ประมาณว่า ศพขึ้นอืดเต็มที่ หมออาคมจะแอบมาตอนดึกสงัดขุดเอาซากศพขึ้นมา เพื่อจะเอาน้ำเหลืองจากศพนั้นไปประกอบพิธี ด้วยเชื่อว่า จะมีความขลังเป็นพิเศษ บางท่านบอกว่า หมออาคมพวกนี้จะดื่มกินน้ำเหลืองที่ได้จากซากศพนั้น บอกว่า มีรสชาติหอมหวานคล้ายน้ำผึ้งและช่วยให้อาคมแข็งกล้าขึ้นมาก

พวกที่ทำให้เกิดกระสือนี้ มักจะเป็นพวกที่เรียนมนต์อาคมทางไสยดำ มีความสามารถปล่อยของ (อาจะเป็น กรรไกรเงิน กรรไกรทอง หนังวัวควาย หรือ วัวธนู) ให้ออกไปทำอันตรายคนที่เป็นเป้าหมายได้ แม้จะอยู่ห่างไกลกัน (แต่ก็ต้องไม่ไกลจนเกินไป) เพราะหมออาคมแต่ละคนสามารถบังคับของได้ในระยะจำกัด แล้วแต่ว่า ใครจะมีพลังแข็งกล้าเท่าใด หากไม่ได้ปล่อยของออกจากตัว แล้วของนั้นจะไปหาผู้เคราะห์ร้ายเอง คนโบราณจึงสั่งสอนว่า ในเวลากลางคืน ถ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ ห้ามทัก เพราะว่า ถ้าอ้าปากทัก ของนั้นจะเข้าตัวและทำอันตรายได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *