buddha silhouette on golden sunset background beliefs of Buddhism

เหตุการณ์บางช่วงบางตนในพุทธประวัติ ทำให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าได้ผ่าน และเกี่ยวข้องกับศาสตร์ที่ว่าด้วยการพยากรณ์อยู่เนื่อง ๆ ทั้งพระองค์ได้รับการพยากรณ์ และการที่พระองค์ทรงเป็นผู้พยากรณ์ด้วยพระองค์เอง เช่น การที่พระองค์ได้รับการพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งสมัยที่ดำรงพระชาติเป็นสุเมธดาบส จากนั้นก็ทรงได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ในคำพยากรณ์เดียวกัน เพราะถือเป็นธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าที่จะทรงพยากรณ์พระพุทธเจ้าทรงต่อไป แม้ในสมัยที่ทรงเป็นพระโคดม เมื่อก่อนกาลประสูติของพระองค์ พระนางสิริมหามายาทรงพระสุบินว่า มีช้างเผือกลักษณะงดงามที่งวงจับดอกบัวขาวแรกแย้มเดินเข้ามาให้พระนางแล้วเดินเวียนขวา 3 รอบ จึงเข้าในไปพระอุทร รุ่งเช้าพระเจ้าสุทโธทนะจึงรับสั่งให้พราหมณ์ผู้ใหญ่จำนวน 64 คน เข้าทำนายพระสุบิน พราหมณ์ทั้งหลายทำนายว่า ในพระครรภ์นั้นเป็นบุรุษผู้มีอานุภาพมาก ทั้งสองเหตุการณ์นี้เป็นการที่พระองค์ได้รับการพยากรณ์จากบุคคลอื่น แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์การตรัสรู้ธรรมของพระเมตไตรย์ไว้ล่วงหน้าเช่นกัน แต่ก็มีข้อสังเกตว่า การพยากรณ์เช่นนี้เป็นการพยากรณ์โดยอาศัยอนาคตังสญาณ คือ ญาณหยั่งรู้อนาคตของพระพุทธเจ้า ซึ่งอนาคตตังสญาณนี้ถือเป็นญาณ คือ ปรีชาความหยั่งรู้ จัดว่า เป็นวิชชา กับการพยากรณ์การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าในอนาคตนี้มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะทำได้ นอกจากการพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้ากรณีพยากรณ์การตรัสรู้ธรรมของพระเมตไตรย์แล้ว พระพุทธเจ้ายังทรงทำนายสุบินของพระองค์เอง และของพระเจ้าเสนทิโกศล เนื้อความสรุปพอสรุปได้ดังนี้

ทรงทำนายพระสุบินของพระองค์เอง ที่เรียกว่า ปัญจมหาสุบินนิมิต ขณะที่ทรงเป็นพระโพธิสัตว์บรรทมหลับในคืนวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 จนเวลาใกล้รุ่ง พระองค์ทรงสุบินนิมิต 5 ประการ คือ

  1. นอนหงายบนพื้นปฐพี มีเขาหิมพานเนเขนย พระพาหาซ้ายจมลงไปในมหาสุมทรทิศบูรพา พระพาหาขวาหยั่งลงไปในมหาสมุทรด้านทิศปัจฉิม และพระบาททั้งสองหยั่งลงไปในมหาสมุทรด้านทิศทักษิณ
  2. มีหญ้าแพรกเส้นหนึ่งงอกขึ้นจากพระนาภี สูงขึ้นไปถึงท้องฟ้า
  3. หมู่หนอนเป็นอันมากมีสีขาวบ้าง สีดำบ้าง ไต่ขึ้นมาจากปลายพระบาททั้งคู่ปิดลำพระชงฆ์ ตลอดจนถึงพระชานุ
  4. ฝูงนก 4 จำพวก มีสีต่าง ๆ กัน คือ สีเหลือง สีเขียว สีแดง และสีดำ บินมาจากทิศทั้ง 4 ลงมาหมอบแทบพระบาท แล้วกลับกลายเป็นสีขาวไปหมดทั้งสิ้น

พระองค์เสด็จขึ้นไปเดินจงกรมบนยอดภูเขาที่เปรอะเปื้อน เต็มด้วยมูตรคูถแต่พระบาทของพระองค์ มิได้เปื้อนด้วยสิ่งเหล่านั้นเลย

เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ตื่นบรรทม ทรงทำนายมหาสุบินนิมิตด้วยพระองค์ เป็นลำดับ ดังนี้

  1. พระองค์จะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ และเป็นผู้เลิศในโลกทั้ง 3 ได้แก่ กามโลก รูปโลก และอรูปโลก
  2. พระองค์จะได้ทรงประกาศพระธรรมเทศนาอริยมรรคมีองค์ 8 แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
  3. หมู่คฤหัสถ์ พราหมณ์และชนทั้งหลายที่นุ่งผ้าขาวจะมาสู่สำนักของพระองค์และดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์
  4. วรรณะทั้ง 4 (พราหมณ์ กษัตริย์ แพพทศย์และศูทร) เมื่อสละเพศฆราวาสมาบรรพชาในพระธรรมวินัย และจะได้บรรลุวิมุตติธรรมอันประเสริฐบริสุทธิ์หมดจดผ่องใสโดยเท่าเทียมกัน
  5. พระองค์จะบริบูรณ์ด้วยลาภสักการะ ที่ชาวโลกทั่วทุกทิศพากันนำมาถวายด้วยศรัทธาเลื่อมใส แต่พระองค์มิได้มีพระทัยติดอยู่ในลาภสักการะเหล่านั้นให้เป็นมลทินแม้แต่น้อย

ครั้งทราบด้วยปัญญาว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงเบิกบานพระทัย เมื่อทรงปฏิบัติภารกิจส่วนพระองค์ สระสรงพระวรกายหมดจดดีแล้ว จึงเสด็จไปประทับ ณ ร่มไม้นิโครธพฤกษ์ (ต้นไทร) ในยามเช้าแห่งวันเพ็ญวิสาขปรุณมีดิถี หรือวันเพ็ญ 14 ค่ำกลางเดือน 6 และบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอนุตตรสัมสัมพุทธเจ้าในเช้าวันนั้นนั่นเอง

การทำนายพระสุบินของพระเจ้าปเสนทิโกศลในมหาสุบินชาดก

การทำนายพระสุบินของพระเจ้าปเสนทิโกศลในมหาสุบินชาดก ความโดยสรุปมีว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินถึง 16 เรื่อง ทรงปริวิตกว่าเรื่องที่ฝันจะเป็นนิมิตร้ายแก่พระองค์ พอตอนเช้าจึงเล่าเรื่องที่สุบินนั้นให้บรรดาพราหมณ์ปุโรหิตฟัง พอได้ฟังพวกพราหมณ์พากันสลัดมือเป็นการใหญ่ จึงทรงถามว่า นี่จะสลัดมือกันไปทำไม พวกพราหมณ์ก็ทูลตอบว่า ที่ทรงฝันนั้นเป็นเรื่องร้ายมาก และจะส่งผลร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งในสามประการดังต่อไปนี้ คือ ประการแรกจะมีอันตรายแก่ราชสมบัติ หรือไม่ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน หรือไม่ก็จะมีอันตรายถึงแก่พระชนม์ชีพ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เลยทรงถามว่า จะแก้ไขอะไรได้บ้างหรือเปล่า พวกพราหมณ์ทูลว่า นิมิตนี้ร้ายกาจนัก ความจริงไม่มีทางแก้ไขแล้ว ทำให้พระองค์ทรงโศกเศร้าเสียพระทัยเป็นอย่างมาก แต่ก็ทรงแนะนำให้พระองค์ทำการบูชายัญด้วยสัตว์ 4 เท่า พระองค์จึงรับสั่งให้ราชบุรุษจับสัตว์มาทำการบูชายัญตามคำแนะนำของพรามหณ์ พระนางมัลลิกามเหสีพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเห็นการบูชายัญ และรับทราบความกังวลของพระเจ้าปเสนทิโกศล จึงกราบทูลให้ตรัสถามกับพระพุทธเจ้า พระราชาจึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าตามคำแนะนำของพระมเหสี และเล่าความฝันของพระองค์ถวาน 16 เรื่อง มีเรื่องโคอุสราชทั้งหลาย เป็นต้น พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายความฝันนั้นเป็นข้อ ๆ ไปโดยลำดับ ดังนี้

ข้อที่ 1 ที่พระสุบินเห็นวัวผู้มีสีเหลืองดอกอัญชัญ 4 ตัว วิ่งมาคนละทิศ จะชนกันที่ท้องพระลานหลวง เมื่อมหาชนชุมนุมกันดูแล้วกลับไม่ชนกัน ถอยวิ่งกลับไป นั้นคือ เหตุจักไม่มีในรัชกาลของพระองค์ และจักไม่มีในศาสนาของพระตถาคต ในอนาคตเมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่มีศีลธรรม เหล่าประชาราษฎร์ไม่ตั้งอยู่ในธรรม กุศลกรรมลดน้อยถอยลง อกุศลกรรมหนาแน่นขึ้น เมื่อนั้นโลกจักเกิดฝนแล้ว ทุพภิกขภัยเมฆฝนตั้งเค้าขึ้นทิศทั้ง 4 ครางกระหึ่ม ฟ้าแลบเหมือนฝนจะตกพอชาวบ้านเก็บสิ่งของหนีฝนแล้วเท่านั้น ก็ไม่ตกลอยหายไป

ข้อที่ 2 ที่พระสุบินเห็นต้นไม้เล็ก ๆ และกอไผ่ พอแตกหน่อได้คืบหนึ่งบ้าง ศอกหนึ่งบ้างก็ผลิตดอกออกผลเสียแล้ว นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์มีอายุน้อยลงมีราคะกล้า เด็กหญิงจักมีสามีตั้งแต่เด็ก ตั้งครรภ์ มีบุตรธิดาตั้งแต่อายุยังน้อย

ข้อที่ 3 ที่พระสุบินเห็นแม่วัวพากันดูดกินนมลูกวัวที่เพิ่งเกิดในวันนั้น นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์จะพากันละทิ้งความประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ (เชษฐาปจายิกธรรม) ลูกไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คนเฒ่าคนแก่หมดที่พึ่งอาศัยต้องอาศัยเด็ก ๆ เลี้ยงชีพ

ข้อที่ 4 ที่พระสุบินเห็นฝูงชนไม่เทียมแอกวัวใหญ่ที่เป็นงานกลับไปเทียมวัวหนุ่มที่ไม่เป็นงาน ตางสลัดเอกทิ้งยืนเฉยอยู่ลากเวียนไปไม่ได้ นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม บัณฑิตผู้มีศีลธรรมจักไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตัดสินคดี (ศาล) ข้าราชการและปกครองบ้านเมือง ผู้ไม่มีศีลธรรมจักได้เป็นใหญ่บริหารบ้านเมือง จักละทิ้งงาน ความเสื่อมจักมีแก่ประเทศชาติ

ข้อที่ 5 ที่พระสุบินเห็นม้าตัวหนึ่งมีปากสองปาก ฝูงชนพากันให้หญ้าที่ปากสองข้างของมัน นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม คนไม่มีศีลธรรมจักได้เป็นผู้ตัดสินคดี (ศาล) ก็จักรับสินบนจากมือคู่คดีทั้งสองฝ่ายมากิน

ข้อที่ 6 ที่พระสุบินเห็นมหาชนขัดถูกถาดทองราคาแพงแล้ว นำไปให้สุนัขจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่งปัสสาวะใส่ถาดทอง นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ตั้งผู้มีศีลธรรมบริหารประเทศ กลับตั้งผู้คนไม่มีสกุลแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลใหญ่จักตกยาก ตระกูลเลว ๆ จักพากันเป็นใหญ่ เพื่อความอยู่รอดตระกูลใหญ่พากันยกธิดาให้แก่ผู้ไม่มีสกุลนั้น

ข้อที่ 7 ที่พระสุบินเห็นชายคนหนึ่งนั่งฟั้นเชือกหย่อนไปใกล้เท้า มีแม่สุนัขจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนกัดกินเชือกนั้นอยู่ใต้ตั่งที่ชายคนนั้นนั่งอยู่ โดยที่เขาไม่รู้เลย นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม หมู่สตรีจักพากันเหลาะแหละในชาย ดื่มสุรา เอาแต่แต่งตัว ชอบเที่ยวเตร่ เห็นแก่ได้ ไม่มีศีลธรรม จักพากันนำทรัพย์ที่สามีหามาได้อย่างยากลำบากไปซื้อสุรา คบชู้สู่ชายซื้อเครื่องประดับ และเที่ยวเตร่ เห็นแก่ได้ แม้จะไม่มีข้าวกินก็ตาม

ข้อที่ 8 ที่พระสุบินเห็นตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมลูกใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่ที่ประตู มีตุ่มเปล่าตั้งอยู่เรียงรายโดยรอบ ผู้คนนำน้ำมาจากทิศทั้ง 4 เทใส่ตุ่มที่เต็มแล้วนั้นล้นแล้วล้นอีก ไม่มีใครสนใจตุ่มที่วางเลยนั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ทุศีลจักปกครองบ้านเมือง เมื่อเกิดทุพภิกขภัย จักเกณฑ์ชาวบ้านช่วยกันนำทรัพย์เพาะปลูกเพื่อผู้ปกครองอย่างเดียว จนชาวบ้านจะไม่มีอยู่มีกิน สร้างความเดือดร้อนให้

ข้อที่ 9 ที่พระสุบินเห็นสระน้ำสระหนึ่งมีดอกบัว 5 สี น้ำลึก มีท่าขึ้นรอบด้าน ฝูงสัตว์สองเท้าสี่เท้าพากันลงดื่มกินน้ำในสระโดยรอบ น้ำอยู่กลางสระขุ่นมัว แต่น้ำที่อยู่ตรงเท้าสัตว์เหยียบย่ำกลับใสสะอาด นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่มีศีลธรรม เห็นแก่สินบน ขูดรีดภาษีชาวบ้าน สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน พวกชาวบ้านไม่สามารถจะให้อะไรได้จึงพากันหนีอพยพไปอยู่ชายแดนเสียส่วนมาก ศูนย์กลางเมืองจักว่างเปล่า ชนบทชายแดนจักเป็นปึกแผ่นแน่นหนาดี

ข้อที่ 10 ที่พระสุบินเห็นข้าวสุกที่หุงในหม้อเดียวกัน แต่สุกไม่เท่ากัน มีแฉะ ดิบ และสุกพอดี คือ อนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ชาวโลกไม่ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรม ฝนจักไม่ตกอย่างทั่วถึง แม้กระทั่งในสระลูกเดียวกัน ข้าวกล้าที่หวานในนาไร่เดียวกัน ก็จะมีผลเก็บเกี่ยวไม่เหมือนกัน มีตายแล้ง น้ำท่วม และได้เก็บเกี่ยวพอดี

ข้อที่ 11 ที่พระสุบินเห็นผู้คนเอาแก่นจันทร์ที่มีราคาแพงขายแลกกับเปรียงเน่า (นมส้ม) นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม พวกนักบวชรวมทั้งภิกษุจักแสดงธรรมเพื่อปัจจัยและอามิสบูชา มิได้แสดงธรรมเพื่อพระนิพพาน นำเอาพระธรรมที่มีค่าควรแก่พระนิพพานไปแลกกับปัจจัย 4 หรือเงินตราเท่านั้น

ข้อที่ 12 ที่พระสุบินเห็นกะโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในธรรม คำพูดของผู้ทุศีลจะเป็นคำพูดที่มีน้ำหนัก ผู้คนจะเชื่อถือแม้แต่ในที่ประชุมสงฆ์ ผู้ทุศีลจะเป็นผู้ชนะอธิกรณ์ ทำสิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งที่ถูกได้

ข้อที่ 13 ที่พระสุบินเห็นก้อนหินแท่งทึบใหญ่ขนาดเท่าเรือนลอยน้ำได้ นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรมแล้วคำพูดของผู้ทุศีลจะมีค่ามีน้ำหนัก พูดในสิ่งผิดให้ถูกได้ พูดสิ่งที่ถูกให้กลับผิดได้

ข้อที่ 14 ที่พระสุบินเห็นฝูงเขียดตัวเล็ก ๆ วิ่งไล่ทำร้ายงูเห่าตัวใหญ่ นั่นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์จะตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสราคะ บุรุษเพศจักตกอยู่ภายใต้อำนาจของสตรีเพศ สามีจักอยู่ในอำนาจของภรรยา ภรรยาจะกดสามีไว้ดังทาสและคนรับใช้

ข้อที่ 15 ที่พระสุบินเห็นฝูงพญาหงส์ทองแวดล้อมกาเที่ยวหากินตามบ้าน นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรมผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ฉลาดในศิลปะ และเก่งกล้าในการรบจักมอบความเป็นใหญ่ให้ผู้ที่ใกล้ชิด เช่น ช่างตัดผม เป็นต้น ไม่เหลียวแลสกุลสูง ๆ สกุลเหล่านั้น จะหันไปคบค้าสมาคมกับพวกช่างตัดผมเหล่านั้นเหมือนหงส์ทองแวดล้อมกา

ข้อที่ 16 ที่พระสุบินเห็นฝูงแกะพากันไล่กัดกินฝูงเสือเหลือง เสืออื่น ๆ มีเสือดาว เสือโคร่งเห็นเช่นนั้น ต่างวิ่งจ้าละหวั่นหลบเข้าไปพุ่มไม้และป่ารกไป นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในหลักธรรม ไม่คบค้าสมาคมกับผู้มีสกุลสูง เพราะเกรงกลัวต่ออำนาจ ผู้มีสกุลสูงจะพากันยินยอมให้ที่ของตนแล้วหลบหนีเข้าบ้านนอนผวากัน พวกภิกษุผู้ทุศีลจะเบียดเบียนผู้มีศีล ภิกษุผู้มีศีลเมื่อไม่มีที่พักก็จะเข้าป่าไป

ท้ายที่สุดแห่งพระธรรมเทศนาของพระองค์ได้ทรงแนะนำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเลิกการบูชายัญที่ผิดนั้นเสีย ให้หันกลับมาประพฤติธรรม เพราะภัยร้ายต่าง ๆ เหล่านั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ปกครองบ้านเมือง อำมาตย์ ข้าราชการทั้งหลายไม่อยู่ในศีลธรรม ชาวเมืองไม่รักษาศีล แต่หากตราบใดที่พระราชายังดำรงอยู่ในคุณธรรม อำมาตย์ ข้าราชการปฏิบัติธรรม ชาวเมืองยังรักษาศีล เหตุร้ายต่าง ๆ ในพระสุบินก็จะไม่เกิดขึ้นในสมัยของพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นเหตุให้พระเจ้าปเสนทิโกศลมีความบันเทิงรื่นเริงใจ รับสั่งให้ยกเลิกการบูชายัญ และปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม ทำให้บ้านเมืองสงบสุขเรื่อยมา

แม้พระพุทธเจ้าจะทรงผ่านประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้โหราศาสตร์ แต่พระองค์ก็มีท่าทีปฏิเสธโหราศาสตร์ เพราะทรงเห็นว่า เป็นดิรัจฉานวิชา เช่น ทรงปฏิเสธเรื่องฤกษ์ยาม การดูดวงดาวเพื่อทำนายทายทัก ดังใจความที่ปรากฏในนักขัตตชาดก ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า มีชาวบ้านนอกมาขอลูกสาวชาวกรุงให้ลูกชายของตน ครั้นถึงวันกำหนดเข้ามารับตัว เผชิญตรงกับวันฤกษ์ไม่ดี ชาวบ้านบอกให้รอไปอีกวันหนึ่ง ชาวกรุงจึงได้บอกเลิกข้อตกลงนั้นเสีย และยกลูกสาวให้แก่รายอื่นไป มีผู้พูดกันถึงเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งถึงหมู่พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ประโยชน์ได้ล่วงคนโง่เขลาผู้มัวคอยฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของมันเอง ดวงดาวจะทำอะไรได้” นอกจากนี้ ในสุปุพพัณหสูตร ยังมีพระพุทธพจน์ยืนยันว่า

“…ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดย่อมประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ ในเวลาเช้า ในเวลา กลางวัน ในเวลาเย็น วันนั้น ย่อมเป็นวันดีของสัตว์เหล่านั้น บุคคลประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่า เป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และเป็นการบูชาดี ในเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม และความปรารถนาดีของผู้นั้นเป็นสิ่งดีงามถูกต้อง เมื่อบุคคลทำกรรมอันดีงาม ถูกต้องแล้ว ย่อมได้รับผลงาม บุคคลเหล่านั้นได้รับประโยชน์แล้ว ของจงมีความสุข ไร้โรค งอกงามในพระพุทธศาสนา มีความสุขพร้อมด้วยญาติทั้งปวง

นอกจากนั้น ในอัคคิทัตตปุโรหิตวัตถุ พระพุทธเจ้ายังทรงตรัสอีกว่า

“พหู เว สรณํ ยนฺติ ปพฺพ ตานิ

วนานิ จ อาราม รุกฺขเจตฺยานิ

มนุสฺสา ภยตชุชิตา เนตํ โข

สรณํ เขมํ เนตํ สรณมุตตมํ เนตํ

สรณ มาคมฺม สฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ”

แปลว่า มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก จะถูกภัยคุกคามแล้ว ก็พากันถือเอาภูเขาบ้าง ป่าบ้าง อารามบ้าง เจดีย์บ้าง ว่าเป็นที่พึ่ง แต่นั่นมิใช่ที่พึ่งอันเกษม มิใช่ที่พึ่งอันสูงสุด เขาอาศัยสิ่งเหล่านั้น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง ส่วนผู้ที่ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว เห็นแจ้งในอริยสัจ 4 เป็นที่เข้าไประงับทุกข์ได้แล้ว นั่นจึงเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด ย่อมพ้นจากทุกข์ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *