การสื่อสารตราสินค้า (Brand Communication)
การเปิดรับการสื่อสารการตลาดมีผลให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกต่อตราสินค้าได้ต่าง ๆ กัน การโฆษณาที่มุ่งเน้นการสร้างความรู้สึกให้ผู้บริโภคจะเน้นความสำคัญในการสร้างของผลทางความรู้สึกอันประกอบด้วย ความรู้สึกและอารมณ์ (Feeling, Emotion or Mood) เป็นหลักและทำการเชื่อมโยงความรู้สึก ดังกล่าวนั้นกับตราสินค้า หรือกระบวนการ “Emotional Bonding” ทั้งนี้เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการรับรู้และจดจำความรู้สึกดังกล่าวควบคู่ไปกับตราสินค้าและเกิดเป็นภาพลักษณ์ตราสินค้า อย่างไรก็ตาม การสื่อสารที่เน้นการให้ข่าวสารข้อมูล ก็สามารถให้เกิดการตอบสนองความรู้สึก (Affective Response) ได้เช่นเดียวกัน
การสื่อสารการตลาดแบบครบวงจรในปัจจุบันมุ่งสร้างตราสินค้าเป็นหลัก เนื่องจาก ตราสินค้ามีความสำคัญยิ่งในการสร้างการรับรู้และให้เกิดการเรียนรู้ในตัวสินค้า สร้างความแตกต่าง สร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับตัวสินค้า ปัจจุบันผู้ผลิตจึงไม่ได้ขายผลิตภัณฑ์เป็นหลักแต่ขายตราสินค้าและคุณค่าของตราสินค้าให้กับผู้บริโภค สภาพการณ์จริงในตลาดมีการแข่งขันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับตราสินค้าสูงมาก ในสหรัฐฯ ค่าใช้จ่ายในการสร้างตราสินค้าหนึ่งในตลาดสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีความเป็นไปได้ถึงร้อยละ 50 ที่การสร้างตราสินค้านั้นจะล้มเหลว ปัจจุบันจึงมีการซื้อตราสินค้าที่มีอยู่แล้วในตลาดในรูปของการเข้าซื้อกิจการหรือการวมกิจการเกิดขึ้นมากมาย วัตถุประสงค์ก็เพื่อเป็นเจ้าของตราสินค้าเดิม ซึ่งผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจและทราบคุณค่าของตราสินค้านั้นอย่างชัดเจนอยู่แล้ว หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นตราสินค้าที่มีความเข้มแข็ง
ในกรณีที่สร้างตราสินค้าขึ้นใหม่ บริษัทต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตราสินค้านั้นมีความแตกต่างกับตราสินค้าอื่น ๆ ในการรับรู้ของผู้บริโภคให้ได้ Don E. Schultz กล่าวถึงการสื่อสารตราสินค้า (Brand Communication) ว่าหมายถึง การลงทุนทุก ๆ อย่างที่องค์กรทำขึ้นในทุก ๆ สื่อและในทุก ๆ อย่างที่องค์กรทำขึ้น กิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อสนับสนุนตราสินค้า และกิจกรรมการสื่อสารสร้างตราสินค้า
เมื่อพิจารณาความแตกต่างระหว่างความหมายของคำว่า “ผลิตภัณฑ์” และ “ตราสินค้า” จะพบว่า ปัจจัยที่ทำให้แตกต่างกัน คือ มูลค่าที่เพิ่มขึ้นที่เกิดจากการสร้างภาพลักษณ์ (Image) เพราะผลิตภัณฑ์ หมายถึง สิ่งที่สร้างอรรถประโยชน์จากคุณสมบัติและมูลค่าจริงของตัวมันเอง ในขณะที่ตราสินค้าจะมุ่งไปที่การเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์ให้สูงกว่าประโยชน์ จากคุณสมบัติและมูลค่าจริงของตัวมันเอง ในขณะที่ตราสินค้าจะมุ่งไปที่การเพิ่มคุณค่าว่าหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ขณะที่ตราสินค้า หมายถึง ชื่อ สัญลักษณ์ รูปลักษณ์การออกแบบ และเครื่องหมายที่เพิ่มพูนคุณค่าของผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้นจากคุณค่าที่เกิดจากประโยชน์ใช้สอยของตัวมันเอง ดังนั้น จึงสังเกตได้ว่า มูลค่าจริงของผลิตภัณฑ์มักต่ำกว่าราคาขายของตราสินค้าต่าง ๆ มาก ทั้งนี้ เนื่องมาจากภาพลักษณ์ (Image) และคุณค่า (value) ที่เพิ่มขึ้นมาจากการสร้างตราสินค้า
การสร้างคุณค่าตราสินค้า (Brand Equity)
คำว่า “คุณค่าของตราสินค้า” (Brand value) คุณค่าโดยรวมในตราสินค้า (Brand Equity) นั้นมีความใกล้เคียงกันซึ่ง “คุณค่าของตราสินค้า” นี้หมายถึง คุณค่าที่แท้จริงทางด้านการเงินของตราสินค้า ขณะที่ “คุณค่าโดยรวมในตราสินค้า” จะหมายถึง สิ่งที่รวมทั้งชื่อของตราสินค้า สัญลักษณ์ จินตนาการของผู้บริโภคที่เกี่ยวกับสินค้า รวมถึงความเกี่ยวข้องและการรับรู้ของผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นตัวแทนในรูปของนามธรรมและแนวคิดที่ไม่สามารถจะจับต้องได้ของตราสินค้าที่ผู้บริโภคได้สร้างขึ้น ซึ่งคุณค่าโดยรวมในตราสินค้านี้จะมีหลากหลายมิติที่แตกต่างกันไป
คุณค่าของตราสินค้า การมีคุณค่ารวมในตราสินค้าสูง จะทำให้สามารถตั้งราคาขายได้สูง (เพราะผู้บริโภคเต็มใจที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อได้เปรียบเทียบกับตราสินค้าอื่น) มีความพึงพอใจและความภักดี (ระดับของความพึงพอใจของตราสินค้าช่วยให้ผู้บริโภคเกิดความภักดี และช่วยป้องกันการเกิดความไวต่อราคา) มีการรับรู้ต่อคุณค่าของสินค้า (ผู้บริโภคจะเข้าใจถึงคุณค่าของสินค้าที่ได้รับ ซึ่งไม่เพียงแต่ด้านมูลค่าเงินหรือคุณภาพเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงคุณค่าอื่น ๆ ที่ไม่สามารถจับต้องได้อีกด้วย) มีความสัมพันธ์ทางใจกับสินค้า (ผู้บริโภคมีความสัมพันธ์ทางจิตใจ โดยมีความไว้วางใจเชื่อถือต่อสินค้านั้น) มีบุคลิกภาพเฉพาะของตราสินค้า (ซึ่งลักษณะพิเศษของตราสินค้านี้สร้างให้เกิดความแตกต่างจากคู่แข่ง) มีการตระหนักรู้และจดจำได้ของตราสินค้า (ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการวัดความสำเร็จของตราสินค้าว่า มีความแข็งแกร่งเพียงใดโดยวัดจากความคุ้นเคยของตราสินค้าในตลาด) คุณค่าโดยรวมของตราสินค้านี้จะถูกยึดไว้ด้วยกัน สิ่งที่เรียกว่า “แก่นแท้ของตราสินค้า” (Brand essence) นั่นเอง
จะเห็นได้ว่า ลูกค้าเป็นผู้สร้างคุณค่าโดยรวมของตราสินค้าขึ้นภายในจิตใจ ดังนั้น นักบริหารหรือนักการตลาดไม่ได้เป็นแค่ผู้สร้างตราสินค้าขึ้น แต่เป็นผู้ที่ดูแลและช่วยเร่งให้ผู้บริโภคสามารถจดจำและเกิดความสัมพันธ์กับตราสินค้านั่นเอง
มูลค่าของตราสินค้าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของปัจจัยเชื่อมโยงตราสินค้า (Brand Association) ความรู้สึก และอารมณ์ที่ตราสินค้านั้นแสดงออกมา ปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวนำไปสู่ความภักดีที่ยั่งยืนของผู้บริโภคที่มีต่อตราสินค้า ซึ่งหมายถึง ศักยภาพของตราสินค้าในการสร้างรายได้ในอนาคต อันนำไปสู่ประโยชน์หลายประการ ได้แก่
- ตราสินค้าที่ได้รับการยอมรับสามารถสร้างมูลค่าในตัวของมันเองได้ กล่าวคือ มูลค่าของตราสินค้ามีความสัมพันธ์อย่างสูงกับจำนวนลูกค้าในการสื่อความหมายถึงประโยชน์ด้านหน้าที่และคุณสมบัติพิเศษ ทำให้บริษัทจะสามารถลดต้นทุนด้านการตลาด เพราะลูกค้ามีความจงรักภักดี (Brand loyalty) และตระหนักในตราสินค้า (Brand Awareness) ซึ่งจะนำไปสู่ศักยภาพของยอดขายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
- บริษัทจะมีอำนาจในการเจรจาต่อรองกับคู่ค้าเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าคาดหวังว่า ร้านค้าของตนจากยอดการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น
- บริษัทสามารถกำหนดราคาสินค้าสูงได้กว่าคู่แข่งขัน
- บริษัทสามารถขยายกิจการได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น เพราะตราสินค้าที่ได้รับความเชื่อถือสูงจะมีความสัมพันธ์กับการรู้จักและการตระหนักถึงคุณภาพของตราสินค้า นอกจากนี้ การที่มูลค่าของตราสินค้าสูงทำให้เกิดการได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ อาทิ ทำให้บริษัทไม่ต้องเข้าไปแข่งขันด้านราคา
ในปี ค.ศ. 1988 เกิดการซื้อขายแบรนด์ครั้งแรกในโลก และยิ่งใหญ่มาก คือ Philip Moris ซื้อ Kraft, Nestle ซื้อ Round Tree โดยจ่ายเงินสูงถึง 4 – 5 เท่าของราคาจริง แบรนด์ได้กลายเป็นทรัพย์สินที่มีราคาแพงที่สุดและมีมูลค่ามากที่สุด ในศตวรรษที่ 20 ก็มีการขายแบรนด์กันมากเช่นกัน อาทิ Wall’s (Unilever) ซื้อ Foremost ในมูลค่าแบรนด์ที่แพง จึงพบว่า แบรนด์ที่แข็งแกร่งจะมีมูลค่า (Equity) ที่สูงมาก
ตราสินค้าที่มีคุณค่าโดยรวมสูงนับว่า เป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามากขององค์กร แม้ว่า การวัดคุณค่าของตราสินค้าจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็มีผู้ทำการประเมินค่าของตราสินค้าต่าง ๆ แล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา ยิ่งไปกว่านั้น มีนักวิเคราะห์บางคนระบุว่า ตราสินค้าเป็นสินทรัพย์ที่มีความคงทนขององค์กร ยิ่งกว่าสินค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ขององค์กร เพราะการมีตราสินค้าที่แข็งแกร่ง จะเป็นตัวชี้วัดว่า มีกลุ่มลูกค้าที่ภักดีต่อตราสินค้านั้นมาก สินทรัพย์ที่ได้จากคุณค่าของตราสินค้า ก็คือ คุณค่าของลูกค้าที่ภักดีต่อตราสินค้านั่นเอง
Brand Equity คือ มูลค่าของแบรนด์ที่ถูกตีค่าออกมา แบรนด์ที่มีพลัง ประสบความสำเร็จมากหรือผู้นำ มี Equity ที่ยิ่งใหญ่จะมีมูลค่าแพง มูลค่าเหล่านี้เป็นมูลค่าแบรนด์เก็บสะสมยา ยากที่จะตีเป็นตัวเงินได้
Brand Equity สามารถแบ่งออกเป็น 6 area ด้วยกัน คือ
- Product Equity สินค้านั้นมีคุณภาพเชิงกายภาพดีเพียงใด เป็นที่รับรู้ของผู้บริโภคแค่ไหน
- Image Equity ในแง่ของภาพลักษณ์ แบรนด์แข็งแกร่งเพียงใด เกี่ยวเนื่องกับใคร
- Goodwill Equity ความเป็นสมาชิกที่ดีในสังคมของแบรนด์ หรือชื่อเสียงที่บริษัทที่ได้สั่งสมมา
- Customer Equity มีฐานของลูกค้ามากน้อยแค่ไหน เป็นใครบ้าง
- Channel Equity เป็นช่องทางที่ผู้บริโภคมีโอกาสจะได้พบปะกับแบรนด์ ย่อมจะส่งผลต่อการซื้อสินค้าในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังรวมถึงโอกาสที่เอเย่นต์ผู้ค้าปลีก (Retail) ได้มีโอกาส จะพบเห็นได้ด้วย เช่น การปรากฏให้เห็นบนเครือข่ายออนไลน์ เว็บไซต์ หรือ E-commerce ฯลฯ
- Visual Equity เป็นรูปลักษณ์แรกเห็นก็สามารถที่จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นยี่ห้อหรือแบรนด์อะไร เช่น เห็นขวดเครื่องดื่มสีแดงนึกถึงโค้ก ฯลฯ ซึ่งสินค้าบางแบรนด์มี Brand Equity ที่เข้มแข็งทั้ง 6 ประการ และในบางแบรนด์ก็มีบางจุดที่แข็งและบางจุดที่ยังอ่อน ดังนั้น ในการจะสร้างตราสินค้า แบรนด์ควรจะต้องตรวจสอบ Equity ทั้ง 6 ประการด้วย โดยนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันประกอบการพิจารณาด้วย
ที่มาของบทความ ชฎาพร บางกรวย. (2008) การสร้างความเอมั่นต่อสินค้าไทยผ่าน Thailand’s Brand สู่ตลาดต่างประเทศ. กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์. https://oldweb.ditp.go.th/contents_attach/78333/78333.pdf