ไม่อยากเจ็บฟรี ตายฟรี ต้องทำประกันภัยภาคบังคับ

การประกันภัยรถภาคบังคับ (Compulsory Motor Insurance) หมายถึง การประกันภัยรถยนต์ประเภทที่กฎหมายให้เจ้าของรถยนต์ซึ่งจะใช้ หรือมีรถยนต์ไว้เพื่อใช้ ต้องจัดให้มีการประกันภัยความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยโดยประกันภัยกับบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการประเภทการประกันภัยรถยนต์ โดยรัฐบาลมีเจตจำนงเพื่อให้เกิดความคุ้มครองแก่ชีวิตร่างกายของประชาชนที่ประสบภัยเป็นสำคัญ

การประกันภัยภาคบังคับ หรือที่เรียกกันว่า “ประกันภัย พ.ร.บ.” คือ การทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2536 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2540 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2551 เริ่มมีผลใช้บังคับครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2536 สาระสำคัญของกฎหมายสรุปได้ดังนี้

เหตุผลในการประกาศใช้กฎหมาย

การที่รัฐออกกฎหมายกำหนดให้รถทุกคันต้องจัดให้มีประกันภัยอย่างน้อยที่สุด คือ การทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้

  1. เพื่อคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เพราะเหตุประสบภัยจากรถ โดยให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที กรณีบาดเจ็บ หรือช่วยเป็นค่าปลงศพ กรณีเสียชีวิต
  2. เป็นหลักประกันให้โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาลในการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากรถ
  3. เป็นสวัสดิการสงเคราะห์ที่รัฐมอบให้แก่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายเพราะเหตุประสบภัยจากรถ
  4. ส่งเสริมและสนับสนุนให้การประกันภัยเข้ามีส่วนร่วมในการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยและครอบครัว

ประเภทรถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535

รถยนต์ที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ.ได้แก่ รถยนต์ทุกชนิดทุกประเภทตามกฎหมายว่าด้วยรถ กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร เป็นรถยนต์ที่เจ้าของมีไว้ใช้ ไม่ว่ารถยนต์ดังกล่าวจะเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น เช่น รถยนต์ รถสามล้อเครื่อง รถจักรยานยนต์ รถบรรทุกรถยนต์โดยสาร รถพ่วง หัวรถลากจูง รถบดถนน รถอีแต๋น ฯลฯ

ดังนั้น การที่มีรถยนต์บางประเภท กรมการขนส่งทางบกไม่รับจดทะเบียน แต่หากเข้าข่ายว่ารถยนต์นั้นเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่นแล้วก็จัดเป็นรถยนต์ที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ด้วย

ประเภทรถที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำประกันภัย พ.ร.บ.

  1. รถสำหรับเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ พระราชะนี พระรัชทายาท และรถสำหรับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
  2. รถของสำนักพระราชวังที่จดทะเบียน และมีเครื่องหมายตามระเบียบที่เลขาธิการพระราชวังกำหนด
  3. รถของกระทรวง ทบวงกรม เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด สุขาภิบาล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และส่วนราชการท้องถิ่นที่เรียกชื่ออย่างอื่น และรถยนต์ทหารตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร
  4. รถของหน่วยงานธุรการขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานธุรการที่เป็นอิสระขององค์กรใด ๆ ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ

ผู้มีหน้าที่ต้องทำประกันภัย พ.ร.บ.

ผู้มีหน้าที่ต้องทำประกันภัยรถ ได้แก่ เจ้าของรถ  ผู้ครอบครองรถในฐานะผู้เช่าซื้อรถ และผู้นำรถที่จะทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศ การฝ่าฝืนไม่จัดให้มีประกันภัย พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 กฎหมายกำหนดโทษปรับไว้ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

ผู้ที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.

ผู้ประสบภัย หมายถึง ประชาชนทุกคนที่ประสบภัยจากรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร คนเดินเท้า หากได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถยนต์ก็จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. นี้

ผู้มีหน้าที่รับประกันตาม พ.ร.บ.

ผู้มีหน้าที่ต้องรับประกันภัย คือ บริษัทประกันวินาศภัยที่รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัยรถประชาชนสามารถทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ได้ที่บริษัทประกันภัยในข้างต้น รวมถึงสาขาของบริษัทฯนั้น ๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมี บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ที่รับประกันภัยเฉพาะรถจักรยานยนต์ ซึ่งมีสาขาให้บริการทุกจังหวัดทั่วประเทศ บริษัทฯใดฝ่าฝืนไม่รับประกันภัยรถยนต์ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองฯ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสองแสนห้าหมื่นบาท

การคุ้มครองเบื้องต้นตาม พ.ร.บ.

ค่าเสียหายในเบื้องต้น ผู้ประสบภัยจะได้รับความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บและค่าปลงศพในกรณีเสียชีวิต โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด บริษัทฯจะชดใช้ให้แก่ประสบภัย/ทายาท โดยธรรมของผู้ประสบภัย ภายใน 7 วัน นับแต่บริษัทฯได้รับคำร้องขอค่าเสียหายดังกล่าวเรียกว่า “ค่าเสียหายเบื้องต้น” โดยมีจำนวนเงิน ดังนี้

  1. กรณีบาดเจ็บ จะได้รับการชดใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อหนึ่งคน
  2. กรณีผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายต่อร่างกาย (ทุพพลภาพ) อย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ บริษัทจะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น จำนวน 35,000 บาทต่อหนึ่งคน
    1. ตาบอด
    2. หูหนวก
    3. เป็นใบ้หรือเสียความสามารถในการพูด หรือลิ้นขาด
    4. สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์
    5. เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว
    6. เสียอวัยวะอื่นใด
    7. จิตพิการอย่างติดตัว
    8. ทุพพลภาพอย่างถาวร
  3. กรณีบาดเจ็บจะได้รับการชดใช้ค่ารักษาพยาบาลตาม ข้อ 1. และต่อมาทุพพลภาพตามข้อ 2. รวมกันแล้วจะไม่เกิน 50,000 บาทต่อหนึ่งคน
  4. กรณีเสียชีวิตจะได้รับการชดใช้เป็นค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพ จำนวน 35,000 บาทต่อหนึ่งคน
  5. กรณีเสียชีวิตภายหลังการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงตามข้อ 1. รวมกันไม่เกิน 50,000 บาทต่อหนึ่งคน

ค่าเสียหายเบื้องต้น กรณีรถตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปก่อให้เกิดความเสียหาย

กรณีรถยนต์ตั้งแต่ 2 คันขึ้นไปก่อให้เกิดความเสียหาย (เฉี่ยวชนกัน) เป็นเหตุให้ผู้ซึ่งอยู่ในรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารก็ตาม หากได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ให้บริษัทที่รับประกันภัยรถยนต์แต่ละคันจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยซึ่งอยู่ในรถยนต์คันที่บริษัทรับประกันภัยไว้ แต่ถ้าผู้ประสบภัยเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้อยู่ในรถยนต์คันใดคันหนึ่ง ให้บริษัทฯร่วมกันจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยโดยเฉลี่ยจ่ายในอัตราส่วนที่เท่ากัน

การใช้สิทธิขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น

ผู้ประสบภัยต้องร้องขอค่าเสียหายเบื้องต้น กับบริษัทภายใน 180 วัน นับแต่วันที่มีความเสียหายเกิดขึ้น โดยใช้หลักฐาน ดังนี้

  1. กรณีบาดเจ็บ
    1. ใบเสร็จรับเงินจากโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล หรือหลักฐานการแจ้งหนี้เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
    2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือสำเนาหนังสือเดินทาง หรือหลักฐานอื่นใดที่ทางราชการเป็นผู้ออกให้ ผู้ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ผู้ที่มีชื่อในหลักฐานนั้นเป็นผู้ประสบภัย
    3. ในกรณีผู้ประสบภัยที่ได้รับบาดเจ็บต่อมาทุพพลภาพ นอกจากต้องยื่นหลักฐานตามข้อ 1.1 และ 1.2 แล้ว ให้ยื่นใบรับรองแพทย์ หรือความเห็นแพทย์ หรือหลักฐานอื่นใดที่ระบุว่า เป็นผู้ประสบภัยซึ่งทุพพลภาพ พร้อมทั้งสำเนาบันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวน หรือหลักฐานอื่นที่แสดงว่า ผู้นั้นได้รับความเสียหายจากการประสบภัยจากรถเพิ่มเติมด้วย
  2. กรณีเสียชีวิต
    1. สำเนามรณบัตร
    2. สำเนาบันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวน
    3. สำเนาบัตรประจำตัวหรือสำเนาใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือสำเนาหนังสือเดินทางหรือหลักฐานอื่นใดที่ทางราชการเป็นผู้ออกให้ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ผู้ที่มีชื่อในหลักฐานนั้นเป็นผู้ประสบภัย

ค่าสินไหมทดแทน (ส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น)

บริษัทฯจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของผู้ประสบภัยในนามของผู้เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายต่อผู้ประสบภัย เนื่องจาก รถยนต์ที่ให้หรืออยู่ในทาง หรือเนื่องจาก สิ่งที่บรรทุกหรือติดตั้งในรถนั้น ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย ดังนี้

  1. ในกรณีที่ผู้ประสบภัยได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ถึงกับสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพอย่างถาวร บริษัทจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียหายอย่างอื่นที่ผู้ประสบภัย สามารถเรียกร้องได้ตามมูลละเมิดตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อหนึ่งคน
  2. กรณีได้รับความเสียหายต่อร่างกายหรืออนามัยในกรณีใดกรณีหรือหลายกรณี ดังต่อไปนี้ บริษัทจะจ่ายเต็มตามจำนวนเงินคุ้มครองสูงสุด 200,000 บาทต่อหนึ่งคน
    1. ตาบอด
    2. หูหนวก
    3. เป็นใบ้หรือเสียความสามารถในการพูด หรือลิ้นขาด
    4. สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์
    5. เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว
    6. เสียอวัยวะอื่นใด
    7. จิตพิการอย่างติดตัว
    8. ทุพพลภาพอย่างถาวร
  3. กรณีเสียชีวิต บริษัทจะจ่ายเต็มตามจำนวนเงินคุ้มครองสูงสุด 200,000 บาทต่อหนึ่งคน
  4. ในกรณีที่ผู้ประสบภัยเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ใน บริษัทฯจะจ่ายค่าชดเชยรายวัน วันละ 200 บาท แต่จำนวนรวมกันไม่เกิน 20 วัน และเป็นค่าเสียหายที่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากที่ความคุ้มครองที่กล่าวมาแล้วนั้น

การสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทน ค่าชดเชยรายวัน และค่าปลงศพ

ในกรณีรถที่เอาประกันภัยไว้กับบริษัทประสบอุบัติเหตุชนกับรถอื่น ซึ่งมีการประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ บริษัทจะสำรองจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัย ซึ่งโดยสารมาในรถ หรือกำลังขึ้น หรือกำลังลงจากรถที่เอาประกันภัยไว้กับบริษัท ดังนี้

  1. ค่ารักษาพยาบาลตามใบเสร็จรับเงิน ไม่เกิน 50,000 บาทต่อหนึ่งคน สำหรับกรณีได้รับบาดเจ็บ
  2. ค่าทดแทนหรือค่าปลงศพ เป็นจำนวนเงิน 200,000 บาทต่อหนึ่งคน สำหรับกรณีเสียชีวิตสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพอย่างถาวร
  3. ค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทน หรือค่าปลงศพ รวมกันไม่เกิน 200,000 บาทต่อหนึ่งคน

สำหรับผู้ประสบภัยที่เป็นบุคคลภายนอกรถ บริษัทและผู้รับประกันภัยอื่นจะร่วมกันสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนหรือค่าปลงศพ โดยเฉลี่ยฝ่ายละเท่า ๆ กัน

กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย

กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนสำหรับจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัย กรณีดังต่อไปนี้

  1. รถคันที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ประสบภัยมิได้จัดทำประกันภัยตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และเจ้าของรถไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น (กรณีบาดเจ็บเท่าที่รักษาจริงจะไม่เกิน 15,000 บาท หากเสียชีวิต 35,000 บาท)
  2. รถยนต์คันที่ก่อให้เกิดความเสียหายมิได้อยู่ในความครอบครองของเจ้าของรถยนต์ในขณะเกิดเหตุ เพราะถูกยักยอก ฉ้อโกง ลักทรัพย์ กรรโชก ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ และจะได้มีการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว
  3. รถนั้นไม่มีผู้แสดงตนเป็นเจ้าของรถและมิได้จัดให้มีการประกันภัยความเสียหายตามที่กฎหมายกำหนดไว้
  4. รถนั้นมีผู้ขับหลบหนีไปหรือไม่อาจทราบได้ว่าความเสียหายเกิดจากรถคันใด
  5. บริษัทไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยหรือจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยไม่ครบจำนวน
  6. รถคันที่ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นรถที่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย

กรณีรถไม่ทำประกันภัยไปก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ประสบภัย

กฎหมายกำหนดให้เจ้าของรถยนต์มีหน้าที่ต้องทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ พ.ศ. 2535 เมื่อเจ้าของรถได้ทำการฝ่าฝืนไม่ทำประกันภัยแล้วรถคันดังกล่าวไปก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ประสบภัย เจ้าของรถจึงมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายนั้น ถ้าผู้ประสบภัยได้รับบาดเจ็บเจ้าของรถยนต์ก็ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือถ้าเกิดเสียชีวิตก็ต้องรับผิดชอบค่าปลงศพ อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าจำนวนเงินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ (กรณีที่บาดเจ็บเท่าที่รักษาจริงจะไม่เกิน 15,000 บาท หากเสียชีวิต 35,000 บาท) หากน้อยกว่านี้ ผู้ประสบภัยหรือทายาทโดยชอบธรรมของผู้ประสบภัย ก็ยังคงมาขอรับส่วนที่ขาดอยู่ได้จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย เมื่อกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยได้จ่ายไปแล้ว กฎหมายได้กำหนดให้นายทะเบียนตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มีหน้าที่เรียกเงินตามจำนวนที่ได้จ่ายไปคืนจากเจ้าของรถยนต์รวมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละยี่สิบของจำนวนค่าเสียหายเบื้องต้นที่จ่ายจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยเพื่อเข้าสมทบอีกต่างหากภายในวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งจากนายทะเบียน

ระยะเวลาการใช้สิทธิขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นตามพระราชบัญญัตินี้

กฎหมายกำหนดระยะเวลาการใช้สิทธิขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น ให้ผู้ประสบภัยต้องร้องขอภายใน 180 วันนับแต่วันที่มีความเสียหายเกิดขึ้น

บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด

ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ พ.ศ. 2535 มาตรา 10 ทวิ ได้บัญญัติให้จัดตั้ง “บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ จำกัด” ขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ และเพื่อให้บริการเกี่ยวกับการรับคำร้องขอและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้ แทนบริษัทฯประกันภัยต่าง ๆ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประสบภัย หรือทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัยที่ไม่สามารถจะเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทฯที่รับประกันภัยรถยนต์คันที่ก่อให้เกิดความเสียหายได้ เนื่องจาก บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ จำกัด มีสาขาให้บริการอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ

  • ต่อมาเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2542 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้บริษัทกลางฯรับประกันภัยเฉพาะรถจักรยานยนต์ได้
  • ทำหน้าที่เป็นสำนักงานประกันภัยรถผ่านแดนแห่งชาติ (Thai National Bureau of Insurance)

ผลดีของการทำ พ.ร.บ.รถยนต์ หรือประกันภัยภาคบังคับ

  1. เพื่อคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตเพราะประสบภัยจากรถ ให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที กรณีบาดเจ็บ หรือช่วยเป็นค่าปลงศพ กรณีเสียชีวิต
  2. เป็นหลักประกันว่า โรงพยาบาลจะได้รับค่ารักษาพยาบาลจากเหตุประสบภัยจากรถ แน่นอน

ผู้เสียหายจากรถยนต์ สามารถยื่นขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น และค่าสินไหมทดแทน ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ได้ที่ “บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจำกัด” มีระยะเวลาการร้องขอใช้สิทธิภายใน 180 วัน นับแต่วันที่มีความเสียหายเกิดขึ้น

ถ้าไม่ทำ พ.ร.บ.รถยนต์จะมีความผิดตามกฎหมายจราจรมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และจะต่อทะเบียนรถยนต์ประจำปีไม่ได้อีกด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *