โรคซิฟิลิส

วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและจิตใจ อยากรู้ อยากเห็น อยากลอง ขาดความยับยั้งชั่งใจ ขาดทักษะ ในขณะเดียวกันวัยรุ่นเป็นวัยเรียน กำลังมีชิวิตอนาคตที่สดใสสนุกสนานกับทุก ๆ เรื่อง เมื่อชีวิตก้าวพลาดจากการรู้ไม่เท่าทัน ไม่ได้ป้องกันตัวเองทำให้ตั้งครรภ์ไม่ได้ตั้งใจ การคุมกำเนิดเป็นสิ่งจำเป็นที่วัยรุ่นต้องเรียนรู้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม นอกจากนี้ การคุมกำเนิดบางวิธียังเป็นการป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และเอดส์ได้

ปัจจุบันพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นเพิ่มขึ้น อายุที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกลดลงทั้งชายและหญิง ขาดความรู้ในการป้องกันโรคติดต่อที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้อาจเนื่องจากไม่ได้เรียนรู้เรื่องเพศวิถีศึกษาอย่างครบถ้วน หรือจากการเรียนรู้กันเองจากเพื่อนหรือสื่อบางชนิดเท่านั้น ทำให้วัยรุ่นกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการติดโรคและเมื่อติดโรคแล้วก็ไม่สามารถที่จะรักษาหรือปฏิบัติได้ถูกต้อง เนื่องจาก ความอายหรือกลัวถูกตำหนิ พ่อแม่ ผู้ปกครองควรมีบทบาทในการดูแล ช่วยเหลือ และมีความรู้ที่ถูกต้องเพื่อช่วยในการป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นกับลูกหลานของท่าน

ชนิดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

1. โรคซิฟิลิส (Syphilis)

สาเหตุโรคซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Treponema pallidum

อาการโรคซิฟิลิส (Syphilis)

  • ระยะที่ 1 รอยโรคจะปรากฏเป็นแผลริมแข็ง
  • ระยะที่ 2 ระยะแรกหายแต่ต่อมน้ำเหลืองโตและปวดตามข้อ เนื่องจาก อักเสบ
  • ระยะที่ 3 ระยแฝงจะไม่มีการแสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อฯ ได้
  • ระยะที่ 4 ระยะเชื้อโรคทำลายอวัยวะหากรักษาไม่ทันอาจทำให้พิการได้

ข้อแนะนำโรคซิฟิลิส (Syphilis)

ผู้ที่ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าชนิดใด ควรตรวจเลือด VDRL ทุกรายเพื่อให้แน่ใจว่า ไม่เป็นซิฟิลิส หรือถ้าเป็นจะได้รักษาตั้งแต่ระยะแรก ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมา

2. โรคแผลริมอ่อน (Chancroid)

สาเหตุโรคแผลริมอ่อน (Chancroid) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Haemophilus ducreyi

อาการโรคแผลริมอ่อน (Chancroid)

ผู้ชาย : จะมีตุ่มหนองเกิดขึ้นที่อวัยวะเพศ ต่อมาแตกเป็นแผลมักมีหลายแผล ขอบไม่แข็งและไม่เรียบ มีเลือดออก เจ็บปวดมาก บางรายต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวมเป็นฝี เมื่อฝีแตกจะเป็นแผลใหญ่

ผู้หญิง : ส่วนใหญ่มีอาการเช่นเดียวกับผู้ชาย แต่ถ้าแผลอยู่ที่ผนังช่องคลอดหรือปากมดลูกก็อาจไม่มีอาการหรือมีตกขาว ปัสสาวะขัด หรือเจ็บเวลาร่วมเพศ

การรักษาโรคแผลริมอ่อน (Chancroid)

ใช้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งดังต่อไปนี้ เช่น Ceftriaxone, Erythromycin, Azithromycin หรือ Ciprofloxacin เป็นต้น ส่วนแผลให้ชะล้างด้วยน้ำเกลือ

อาการแทรกซ้อน

เชื้ออาจลุกลามไปตามท่อน้ำเหลืองที่ขาหนีบ ต่อมน้ำเหลืองจะโตติดกันเป็นพืดและเจ็บ ลักษณะเป็นสีคล้ำ และนุ่ม ส่วนมากโตเพียงข้างเดียว อาจเป็นหนองและแตกเป็นแผลได้

3. โรคหนองใน (Gonorrhea)

สาเหตุโรคหนองใน (Gonorrhea) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Neisseria gonorrhoeae

อาการโรคหนองใน (Gonorrhea)

ผู้ชาย : มีอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด มีหนองไหล อาจเป็นฝีในต่อมต่าง ๆ อัณฑะอักเสบ และอาจเป็นหมันได้

ผู้หญิง : ตกขาวมีกลิ่นเหม็น เป็นหนอง / มูกปนหนอง ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องน้อย มีการอักเสบที่ท่อปัสสาวะ ปากมดลูก และอาจเป็นฝีในต่อมต่าง ๆ ได้

การรักษาโรคหนองใน (Gonorrhea)

ยาที่ใช้ได้ผลดี ได้แก่ Ceftriaxone ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว หรือใช้กินครั้งเดียว เช่น Cefixime, Ciprofloxacin, Ofloxacin

อาการแทรกซ้อน

ผู้ชาย : ถ้าไม่ได้รับการรักษา เชื้ออาจจะลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง เช่น ทำให้ท่อปัสสาวะอักเสบหรือเป็นฝี ต่อมลูกหมากอักเสบ อัณฑะอักเสบ ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นหมันได้

ผู้หญิง : เชื้ออาจลุกลามทำให้ต่อ batolin’s gland อักเสบ หรือเป็นฝี เยื่อบุมดลูกอักเสบ ปีกมดลูกอักเสบ ซึ่งถ้าอักเสบรุนแรงอาจทำให้ท่อนำไข่ตีบตัน กลายเป็นหมัน ตั้งครรภ์นอกมดลูก (ectopic pregnancy)

ทั้งสองเพศ ถ้าเชื้อเข้ากระแสเลือดไปที่ข้อ ทำให้เกิดการอักเสบของข้อที่พบ คือ ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า แต่ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย

ข้อแนะนำ

  1. ระหว่างการรักษา ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ 2 – 4 สัปดาห์ และงดดื่มเหล้า เพราะอาจทำให้มีหนองไหลมากขึ้น
  2. ในผู้ป่วยหญิงหากตั้งครรภ์ ต้องรีบรักษาให้หายขาด เพราะลูกอาจติดเชื้อระหว่างคลอดทำให้ตาอักเสบรุนแรงและอาจทำให้ตาบอดได้

4. โรคหนองในเทียม (Non Gonococcal Urethri)

สาเหตุโรคหนองในเทียม (Non Gonococcal Urethri) ประมาณร้อยละ 40 เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Chlamydia trachomatis ร้อยละ 10 มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อพยาธิ และอีกร้อยละ 50 ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

อาการโรคหนองในเทียม (Non Gonococcal Urethri)

ผู้ชาย : มีอาการปัสสาวะแสบขัด / คันในท่อปัสสาวะ อาจมีมูกใส หรือขุ่นจากท่อปัสสาวะ

ผู้หญิง : ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ในรายที่มีอาการจะตกขาวผิดปกติ คันบริเวณปากช่องคลอด ตรวจภายใน อาจพบหนอง / มูกปนหนอง ปากมดลูกบวมแดง เลือดออกง่าย

การรักษาโรคหนองในเทียม (Non Gonococcal Urethri)

ยาที่ใช้ เช่น Doxycycline, Azithromycin, Ofloxacin หรือ Erythromycin base เป็นต้น

ข้อแนะนำ

  1. ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ และงดดื่มเหล้า จนกว่าจะรักษาหาย
  2. โรคหนองในเทียมอาจเป็นเรื้อรัง และรักษายากกว่าหนองใน เนื่องจาก ส่วนใหญ่จะตรวจไม่พบเชื้อแต่โรคหนองในเทียมที่เกิดจาก Chlamydia trachomatis สามารถรักษาหายขาดได้ใน 14 วัน
  3. ทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นหนองในเทียมจากเชื้อ Chlamydia trachomatis อาจได้รับเชื้อระหว่างคลอด อาจทำให้ตาอักเสบได้ แต่อาการรุนแรงน้อยกว่าตาอักเสบจากหนองใน

5. หูดหงอนไก่ (Condyloma accuminata หรือ Genital wart)

สาเหตุหูดหงอนไก่ (Condyloma accuminata หรือ Genital wart) เกิดจากเชื้อ Human papilloma virus (ไวรัส HPV)  ชื่อ ระยะฟักตัว 1 – 6 เดือน

อาการหูดหงอนไก่ (Condyloma accuminata หรือ Genital wart)

ผู้ชาย : เป็นติ่งเนื้ออ่อน สีชมพูคล้ายหงอนไก่ มักพบที่อวัยวะเพศ ส่วนที่อยู่ใต้หนังหุ้มปลายท่อปัสสาวะ

ผู้หญิง : เป็นติ่งเนื้ออ่อน สีชมพูคล้ายหงอนไก่ที่ปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก และฝีเย็บ

การรักษาหูดหงอนไก่ (Condyloma accuminata หรือ Genital wart)

เป็นการรักษาเฉพาะที่ ได้แก่

  1. ใช้ podophyllin in tincture benzoin ชนิดร้อยละ 10 – 25 ทาเฉพาะที่หูด ไม่ให้ถูกผิวหนังปกติ เพราะจะระคายเคืองมาก หลังทายาแล้วควรรอให้แห้ง แล้วล้างออกภายใน 3 – 4 ชั่วโมง ถ้าหูดไม่หลุดภายใน 3 – 4 วัน ให้ทาซ้ำสัปดาห์ละครั้ง ถ้าทำซ้ำ 4 – 6 สัปดาห์แล้วไม่หาย ควรใช้วิธีอื่น ยานี้ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เพราะมีฤทธิ์ทำลายเซลล์และมีพิษต่อระบบส่วนกลางและไขสันหลัง
  2. การทำลายหูดด้วยการทำหัตถการ เช่น การจี้ด้วยความเย็น การจี้ด้วยไฟฟ้า หรือการผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์

ข้อแนะนำ

ในผู้หญิงที่เป็นหูดหงอนไก่ มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก จึงควรตรวจคัดกรองหามะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรกอย่างน้อยปีละครั้ง

6. เชื้อราในช่องคลอด (Vaginal candidosis)

สาเหตุเชื้อราในช่องคลอด (Vaginal candidosis) เกิดจากเชื้อรา ชื่อ Candida albicans

อาการเชื้อราในช่องคลอด (Vaginal candidosis)

ผู้ชาย : มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน หรือเจ็บที่อวัยวะเพศ บางครั้งมีเมือกสีขาว หรือหนองเล็กน้อยออกจากท่อปัสสาวะ ถุงอัณฑะ ขาหนีบ อาจมีผื่นแดงเป็นขุย

ผู้หญิง : มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน ระคายเคือง มีปัสสาวะขัดหรือบ่อยกว่าปกติ เจ็บในช่องคลอดระหว่างร่วมเพศ อาจมีตกขาวใส ๆ หรือขาวข้น

การรักษาเชื้อราในช่องคลอด (Vaginal candidosis)

ให้ยาเหน็บช่องคลอด เช่น Nystatin, Clotrimazole หรือกิน Ketoconazole

ข้อแนะนำ

หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือสวนล้างช่องคลอดโดยไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงการใช้ชุดชั้นใน ชนิดใยสังเคราะห์ที่รัดแน่น และไม่ปล่อยให้เกิดการอับชื้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *