เด็กอ้วน เด็กน้ำหนักตัวเกิน

ภาวะพร่องโภชนาการและภาวะโภชนาการเกินเป็นปัญหาสำคัญอันดับ 4 ในการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาที่ควรแก้ไขโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในปีงบประมาณ 2553 พบประชากรมีภาวะพร่องโภชนาการอย่างน้อย 280,000 ราย ขณะที่ภาวะโภชนาการเกินประมาณ 400,000 ราย ปี 2554 รายงานจากการสำรวจการรับประทานอาหารของคนไทย ในระดับประเทศ พบว่า เด็กและวัยรุ่นอายุ 3 – 18 ปี มีความชุกของภาวะน้ำหนักเกิน ร้อยละ 7.6 และโรคอ้วน ร้อยละ 9.0

เมื่อไหร่เรียกว่า “เด็กน้ำหนักตัวเกิน” และเมื่อไรเรียกว่า “เด็กโรคอ้วน”?

เด็กน้ำหนักตัวเกิน (Overweight) หมายถึง เด็กที่มีน้ำหนักตัวเมื่อเทียบกับอายุหรือส่วนสูงเกินค่ามาตรฐานปกติ แต่ยังไม่มีความผิดปกติของการสะสมไขมันในร่างกาย

เด็กอ้วน หรือเด็กโรคอ้วน (Obesity) หมายถึง ภาวะที่ร่างกายของเด็กมีไขมันสะสมมากเกินปกติ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นทั่วร่างกาย ทำให้เด็กอ้วนทั้งตัวหรืออาจอ้วนเฉพาะส่วนกลางของลำตัวที่เรียกว่า Central obesity จนอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว

การประเมินขนาดของร่างกายทำอย่างไร?

ในการแยกภาวะน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนต้องนำน้ำหนักและส่วนสูงมาคำนวณเพื่อชี้วัดภาวะโภชนาการ ได้แก่

  1. ดัชนีมวลกาย (Body mass index, BMI) โดยการนำน้ำหนักเป็นกิโลกรัมแล้วหารด้วยความสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง เช่น สูง 150 เซนติเมตร (1.5 เมตร) และยกกำลังสอง และนำไปหารน้ำหนักที่เป็นกิโลกรัม
    • ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / (ความสูง (เมตร)) 2
  2. หาเปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัวเทียบความสูง
    • เปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบความสูง = [น้ำหนักจริงของเด็ก(กิโลกรัม) * 100]/น้ำหนักมาตรฐานที่ความสูง (เซนติเมตร)เดียวกัน

แพทย์วินิจฉัยภาวะเด็กน้ำหนักตัวเกินและเด็กโรคอ้วนได้อย่างไร?

วินิจฉัยภาวะเด็กน้ำหนักตัวเกิน ใช้ค่า/เกณฑ์ดังนี้

  • ดัชนีมวลกาย (BMI) เทียบอายุแยกตามเพศอยู่ระหว่างเปอร์เซนไทล์ที่ 85 ถึง 95 หรือเปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัวเทียบความสูงมากกว่า 140

วินิจฉัยเด็กเป็นโรคอ้วน ใช้ค่า/เกณฑ์ดังนี้

  • ดัชนีมวลกาย BMI เทียบกับอายุแยกตามเพศมากกว่าเปอร์เซนไทล์ที่ 95 หรือเปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัวเทียบความสูงมากกว่า 140

อนึ่ง ในการวินิจฉัยว่า เด็กมีภาวะน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน แพทย์จะมีวิธีวินิจฉัย ดังนี้

  1. แพทย์จะประเมินว่า อ้วนจริงหรือไม่ โดยใช้เกณฑ์ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนดังกล่าวแล้ว
  2. แพทย์จะสอบถามประวัติการรับประทานอาหาร บริโภคนิสัย และการรับประทานอาหารย้อนหลังใน 24 ชั่วโมง การออกกำลังกาย การทำกิจวัตรประจำวัน ประวัติครอบครัว ประวัติการเลี้ยงดู และตรวจร่างกายเพื่อหาความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เป็นโรคทางพันธุกรรม หรือโรคของระบบต่อมไร้ท่อ หรือมีความดันสูงร่วมด้วยหรือไม่
  3. สอบถามประวัติการกินยา เนื่องจาก ยางบางอย่างอาจทำให้อ้วน เช่น ยารักษาอาการทางจิต ยากันชัก ยารักษาโรคเบาหวาน และสอบถามประวัติว่า มีการอุดกั้นทางเดินหายใจ เช่น มีนอนกรน หรือมีปัญหานั่งหลับเวลาเรียนหรือไม่
  4. แพทย์จะประเมินทางด้านจิตใจ เพื่อช่วยบอกความพร้อม และความร่วมมือของเด็ก และของครอบครัวในการรักษาโรคอ้วน หรือภาวะน้ำหนักตัวเกิน
  5. แพทย์อาจจะมีการตรวจเลือดเพื่อดูว่า มีโรคเบาหวาน (โรคเบาหวานในเด็กและวัยรุ่น) หรืออาจมีความผิดปกติของไขมันในเลือด (ไขมันในเลือดสูง) อาจร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งก็อาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงทางโรคหัวใจได้

ภาวะไขมันสะสมในร่างกาย

เนื่องจาก มีการวินิจฉัยว่า เด็กที่เป็นโรคอ้วน ร่างกายเด็กจะต้องมีการสะสมของไขมันในร่างกายที่ผิดปกติด้วย ซึ่งแพทย์ก็จะประเมินโดยจะมีการประเมินการสะสมของไขมันใต้ผิวหนัง (Skin fold thickness) และเส้นรอบเอวที่เพิ่มขึ้นของเด็กตามการกระจายของไขมันบริเวณผนังหน้าท้อง ซึ่งการวัดเส้นรอบเอวทำได้โดยใช้สายวัดวัดตามแนวเส้นระนาบรอบเอาที่ระดับสัน/ขอบด้านบนของกระดูกเชิงกรานผ่านสะดือโดยต้องไม่กดรัดผิวหนัง

ผู้ใหญ่ที่มีเส้นรอบเอวเกินกว่าปกติถือว่า “อ้วน” ถึงแม้ว่า จะมีน้ำหนักตัวปกติ แต่ถ้าวัดเส้นรอบเอวได้เกิน 88 เซนติเมตร (35 นิ้ว) ในเพศหญิง และเส้นรอบเอว 102 เซนติเมตร (40 นิ้ว) ในเพศชาย ซึ่งก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ

ในเด็กที่มีอายุ 5 – 16 ปี ซึ่งขนาดเส้นรอบเอวก็สัมพันธ์กันกับระดับอินซูลิน (Insulin, ฮอร์โมนควบคุมการใช้น้ำตาลของร่างกาย) ในเลือดและในระดับความดันโลหิต

มีการศึกษาในเด็กไทย อายุ 10 – 18 ปี พบว่า การวัดรอบเอวผ่านสะดือเป็นการคัดกรองอย่างง่าย

ในวัยรุ่นที่น้ำหนักเกิน คือ เด็กชายในอายุดังกล่าว หากเส้นรอบเอวมากกว่า 73.5 เซนติเมตร (29 นิ้ว) และเด็กหยิงในอายุดังกล่าว หากเส้นรอบเอวมากกว่า 72.3 เซนติเมตร (28½ นิ้ว) จัดว่า “น้ำหนักเกิน”

สำหรับเด็กชายในอายุดังกล่าวหากเส้นรอบเอวมากกว่า 75.8 เซนติเมตร (29¾ นิ้ว) และเด็กหญิงในอายุดังกล่าว หากเส้นรอบเอวมากกว่า 74.6 เซนติเมตร (29½ นิ้ว) จะวินิจฉัยว่า เป็น “โรคอ้วน”

จึงจำเป็นต้องมีการประเมินขนาดเส้นรอบเอวร่วมกับ BMI เพื่อค้นหาความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน

Skin fold thickness การวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง เช่น วัดความหนาที่กึ่งกลาง หรือความยาวของต้นแขนด้านหน้า (โดยวัดเหนือกล้ามเนื้อชื่อ ไบเซพส์, Biceps skin fold thickness) หรือจะวัดที่กึ่งกลางของความยาวต้นแขนด้านหลัง (โดยวัดเหนือกล้ามเนื้อชื่อไตรเซพส์ (Triceps skin fold thickness) หรือจะวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังที่เหนือกระดูกสะบัก (Subcapsular skin fold thickness) เป็นต้น

การวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังจะมีการวัดด้วยเครื่องวัด ที่เรียกว่า Caliper (แคลิเปอร์) ซึ่งจะต้องมีเทคนิคการวัดอย่างถูกต้อง และถ้าความหนาของไขมันใต้ผิวหนังที่บริเวณกล้ามเนื้อ Triceps มีมากกว่า 85 เปอร์เซนไทล์ จะถือว่า “อ้วน” ถ้ามีมากกว่า 95 เปอร์เซนไทล์ จัดได้ว่าเป็น “โรคอ้วนรุนแรง” ซึ่งการวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังจะมีความสัมพันธ์ได้ดีกับค่า BMI จึงจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีในการที่จะบอกได้ว่า มีการสะสมของไขมันในเด็กวัยเรียน

แบ่งระดับความรุนแรงของโรคอ้วนในเด็กอย่างไร?

การจะใช้ค่าเปอร์เซ็นต์ในน้ำหนักตัวและเทียบกับความสูง (Weight for height) จะบอกได้ว่า เด็กมีน้ำหนักเกิน หรือเด็กเป็นโรคอ้วน แต่การจะใช้เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวและเทียบกับอายุ (Weight for age) ก็จะช่วยบอกความรุนแรงของตัวเด็กที่มีน้ำหนักตัวเกินและเด็กที่เป็นโรคอ้วน โดย

  • เด็กน้ำหนักตัวเกิน หมายถึง เปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุมีค่า 100 – 120%
  • เด็กโรคอ้วนเล็กน้อย หมายถึง เปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุมีค่า 120 – 140%
  • เด็กโรคอ้วนปานกลางมีค่าเปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุ 140 – 160%
  • เด็กโรคอ้วนมากมีค่าเปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุ 160 – 200%
  • เด็กโรคอ้วนมากถึงขั้นที่มีปัญหา (Morbid obesity) มีค่าเปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุมากกว่า 200%

หมายเหตุ

เปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุ : [น้ำหนักของเด็กที่ชั่งได้จริง (กิโลกรัม) * 100]/น้ำหนักมาตรฐานที่อายุเดียวกัน

เด็กมีน้ำหนักตัวเกินและเด็กโรคอ้วนมีสาเหตุจากอะไร?

เด็กน้ำหนักตัวเกินเป็นภาวะที่ร่างกายได้รับกำลังงาน/พลังงาน และสารอาหารเกินความต้องการ จึงมีการเจริญเติบโตเกินปกติแต่อย่างสมส่วน

ส่วนเด็กที่เป็นโรคอ้วนจะเกิดจากการสะสมกำลังงานส่วนเกินในเนื้อเยื่อไขมันทั่วร่างกาย เนื่องาจาก ความไม่สมดุลของกำลังงานที่ได้รับ และมีการนำกำลังงานที่ได้รับไปใช้ มีการสะสมของไขมันที่เกินปกติ (Excess adiposity) ซึ่งก็ขึ้นกับการรับประทานอาหาร การเคลื่อนไหว และการจะนำกำลังงานไปใช้ภายใต้การทำงานของฮอร์โมน เช่น ไทรอยด์ฮอร์โมน (Thyroid hormone, ฮอร์โมนเพื่อการที่จะใช้พลังงานของร่างกาย) สเตียรอยด์ฮอร์โมน (Steroid hormone, ฮอร์โมนเพื่อการทำงานต่าง ๆ ของเซลล์ในร่างกาย) ฮอร์โมนในการเจริญเติบโตของร่างกาย (Growth Hormone) และฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin, ฮอร์โมนควบคุมการใช้น้ำตาลของร่างกาย)

สาเหตุของโรคอ้วนส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการบริโภคอาหารไม่ถูกต้อง การใช้พลังงานในชีวิตประจำวันน้อยลง ปัจจัยด้านพันธุกรรม และความเจ็บป่วยของเด็ก ซึ่งได้แก่

  1. บิดาหรือมารดาอ้วน
    • เด็กที่บิดามารดาไม่อ้วน มีโรคอ้วน เพียง ร้อยละ 8
    • เด็กที่บิดาหรือมารดาอ้วน เป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน ร้อยละ 79
  2. ความผิดปกติทางพันธุกรรม
    • ความผิดปกติทางพันธุกรรมอาจทำให้ร่างกายขาดสารบางอย่าง เช่น เล็ปติน (Leptin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของกำลังงาน/พลังงานในร่างกาย ภาวะที่ Leptin น้อยหรือสมองไม่ตอบสนองต่อสารของ Leptin จะทำให้เกิด
    • ภาวะต้านการทำงานของอินซูลิน
      • ร่างกายสร้าง Growth hormone (ฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต) ลดลง และสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน (Thyroid hormone ฮอร์โมนเพื่อการใช้พลังงาน) ลดลง เด็กจึงมีการเจริญเติบโตช้าแต่กินจุ ร่างกายใช้น้ำตาลกลูโคสและไขมันไม่เต็มที่ ทำให้มีไขมันในเลือดสูงขึ้น มีความดันโลหิตสูง และมีพัฒนาการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวช้า เด็กที่ตัวเตี้ยจึงมีโอกาสอ้วนมากกว่าเด็กตัวสูง เด็กที่มีกลุ่มอาการต้านอินซูลิน (Insulin resistance syndrome คือ กลุ่มอาการที่มีความผิดปกติในการใช้พลังงานของร่างกาย ที่ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง) ทำให้ใช้น้ำตาลกลูโคสได้น้อย
  3. โรคของต่อมไร้ท่อ
    • โรคของอวัยวะในระบบต่อมไร้ท่อทำให้เด็กอ้วนได้ แต่พบได้น้อยกว่าปัจจัยอื่น (ประมาณไม่ถึงร้อยละ 10 ของเด็กอ้วน) ในเด็กที่อ้วนและเตี้ยต้องนึกถึงโรคของต่อมไร้ท่อและโรคทางพันธุกรรมด้วยเสมอ เช่น ภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต กลุ่มอาการต้านอินซูลิน ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน เด็กที่มีความผิดปกติของต่อมไร้ท่ออาจพบว่า มีภาวะอ้วนเตี้ย มีความพิการทางสมอง สติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ อายุการเจริญของกระดูกช้ากว่าอายุจริง และเกิดมีโรคอ้วน (ซึ่งมีลักษณะเฉพาะเช่น อ้วนที่ใบหน้าและลำตัว แต่แขนขาไม่อ้วน) โดยไม่มีประวัติอ้วนในครอบครัว
  4. นิสัยการบริโภคไม่ถูกต้อง
    • การสะสมของไขมันในร่างกายและการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับปริมาณกำลังงานของสารอาหารที่รับประทานโดยเฉพาะอาหารคาร์โบไฮเดรต (อาหารพวกแป้งและน้ำตาล) อาหารรสหวาน และอาหารไขมันสูง ซึ่งมักพบในครอบครัวที่มีลักษณะดังนี้
      • เด็กอ้วนส่วนใหญ่เกิดในครอบครัวที่มีรายได้น้อย เนื่องจาก บิดามารดาชอบอาหารที่กำลังงานสูง เช่น อาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน
      • พบในครอบครัวที่จัดอาหารเกินความต้องการของสมาชิกในครอบครัว
      • ชอบรับประทานอาหารสะดวกซื้อและเข้าถึงได้ง่ายเป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารนอกบ้านที่ถูกปรุงด้วยน้ำมัน ไขมัน และน้ำตาลเพิ่มมากขึ้น
  5. การออกกำลังกายที่ไม่เพียงพอและไม่สม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยลดการสะสมของไขมันในร่างกายเด็กได้ ทั้งนี้ จากสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กโรคอ้วน ทำให้มีการใช้กำลังงานน้อย และมีผลต่อการสะสมไขมันในร่างกาย และเด็กโรคอ้วนที่ดูโทรทัศน์ เล่นคอมพิวเตอร์ และ/หรือเล่นเกมส์มากเกินวันละ 2 – 3 ชั่วโมง จะมีผลทำให้อ้วนและทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นลดลง

เด็กอ้วนมีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง?

ภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากการมีโรคอ้วนในเด็ก คือ

  1. มีความผิดปกติของการหายใจและการนอนหลับในเด็กโรคอ้วน ซึ่งเด็กจะมีปัญหาจากทางเดินหายใจจะถูกอุดกั้นในขณะนอนหลับ ซึ่งเรียกว่า ว่า โรคโอเอสเอ (Obstructive sleep apnea : OSA) ได้บ่อย โดยพบว่าเด็กที่เป็น OSA มักจะนอนกรนหรือจะมีการหยุดหายใจขณะหลับ (โรคนอนหลับ แล้วหยุดหายใจ) อาจปัสสาวะรดที่นอน และจะชอบนั่งหลับในเวลากลางวัน ในเด็กโรคอ้วนบางรายเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องหรือเด็กอาจจะมีภาวะพร่องสติปัญญา ในเด็กโรคอ้วนในรายที่มี OSA รุนแรงอาจจะมีอาการของโรคหืดและโรคหัวใจล้มเหลวร่วมด้วย
    • เด็กที่อ้วนมาก อาจมีก้อนไขมันพอกและกดทับบริเวณหน้าอก ทำให้ปอดขยายได้จำกัด เกิดกลุ่มอาการพิกวิกเกียน (Pickwickian syndrome) คือ ทำให้หายใจช้า มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในเลือด นั่งหลับเวลากลางวัน และหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ตามด้วยเลือดข้น ขาดออกซิเจน หัวใจโต และอาจเสียชีวิตกระทันหันได้
  2. เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ เนื่องจาก มีไขมันในเลือดสูงเกินปกติ เด็กจึงเสี่ยงต่อการเกิดโรค หลอดเลือดแดงแข็งและโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคอ้วน
  3. เสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus) เนื่องจาก มีภาวะต้านอินซูลิน ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโน (Amino acid) และกรดไขมันต่าง ๆ เข้าสู่เซลล์ ทำให้สารดังกล่าวมีปริมาณในเลือดมากเกินปกติจึงทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ตามมา
  4. มีความผิดปกติของระบบประสาท อาจพบมีความผิดปกติของระบบปราสาทที่เรียกว่า Pseudotumor cerebri (มีความดันในสมองเพิ่มขึ้นโดยหาสาเหตุไม่ได้ชัดเจน) พบร้อยละ 30 – 80 มีอาการสำคัญ ได้แก่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน มองเห็นภาพซ้อน (ภาพ ๆ เดียวแต่มองเห็นซ้อนเป็นหลายภาพ) และอาจมีเส้นประสาทตาผิดปกติ แต่ไม่มีความผิดปกติของระบบประสาทอื่น ๆ
  5. มีความผิดปกติของกระดูกและข้อ ทำให้กระดูกขาโก่งหรือพบหัวกระดูกต้นขาหลุดทั้งสองข้าง
  6. ความผิดปกติของตับและท่อน้ำดี โรคอ้วนในเด็กเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีร่วมกับภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเรื้อรัง และมีไขมันสะสมในตับมากขึ้น (โรคไขมันพอกตับ, Hepatic steatohepatitis)
  7. มีความผิดปกติด้านจิตใจและสังคมมาก ซึ่งความผิดปกติที่พบในเด็กโตหรือเด็กวัยรุ่น ได้แก่ การติดบุหรี่ของเด็กวัยรุ่น มีผลการเรียนเลวลง เด็กอาจแยกตัวจากเพื่อน มีความขัดแย้งกับครอบครัว เด็กเป็นโรคซึมเศร้าและปฏิเสธการรักษา ในเด็กอนุบาลที่อ้วนเด็กมักจะอ่านหนังสือไม่เก่ง ครอบครัวเด็กจะมีความเศร้า เด็กจะขาดความมั่นใจ และเด็กจะมีปัญหาปฏิสัมพันธ์ต่อสมาชิกในครอบครัว

รักษาเด็กโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินอย่างไร?

เป้าหมายการรักษาเด็กน้ำหนักตัวเกินและเด็กอ้วน คือ รักษาและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนหรือภาวะผิดปกติที่เกิดร่วมกับน้ำหนักเกินและโรคอ้วนร่วมกับการรักษาและควบคุมน้ำหนักตัว ควบคุมน้ำหนักตัวเมื่อไม่มีภาวะแทรกซ้อน ในเด็กยังมีการเจริญเติบโต เมื่อตัวสูงขึ้นและควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากขึ้นความอ้วนก็จะลดลง ดังนั้น จึงควรมีตาชั่งชนิดที่วัดได้ละเอียดเป็นจุดทศนิยม 2 ตำแหน่งไว้ชั่งน้ำหนักตัวเด็กเพื่อการติดตามน้ำหนักตัวสม่ำเสมอ ลดน้ำหนักตัวเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน ในเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีทั้งภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน (แพทย์ไม่แนะนำการลดน้ำหนัก ในเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปีเพราะจะมีผลต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพของเด็กได้

มีแนวปฏิบัติในการดูแลควบคุมน้ำหนักอย่างไร?

แนวปฏิบัติในการดูแลควบคุมน้ำหนักตัวในเด็กโรคอ้วน คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตเป็นการรักษาที่ได้ผลดี การรักษาที่เน้นทั้งตัวเด็กและครอบครัวต้องร่วมกันในการจัดการดูแลเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย และการสนับสนุนของครอบครัว การดูแลทางด้านจิตใจ ทั้งนี้ เด็กโรคอ้วนควรได้รับการดูแลและการติดตามจากแพทย์ทางด้านโภชนาการตามกำหนดที่แพทย์นัดเสมอ

ป้องกันการเกิดเด็กน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนอย่างไร?

การป้องกันการเกิดเด็กภาวะน้ำหนักตัวเกิน ภาวะอ้วนและเป็นโรคอ้วน คือ การติดตามการเจริญเติบโตของเด็กเป็นระยะ ๆ และเป็นการติดตามน้ำหนักและส่วนสูงกับกราฟการเจริญเติบโต (เปอร์เซนไทล์) ของเด็กตามเพศและอายุ หากเป็นการเจริญเติบโตที่ปกติ เส้นกราฟก็จะขนานไปกับเส้นเฉลี่ยของค่าปกติ (เปอร์เซนไทล์ที่ 50) จะไม่เกินเปอร์เซนไทล์ที่ 97 (มากเกิน) และจะไม่ต่ำกว่าเปอร์เซนไทล์ที่ 3 (น้อยเกิน, เปอร์เซนไทล์ที่3 (P3) ซึ่งเป็นค่าที่มีจำนวนข้อมูลน้อยกว่าและค่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 3 ใน 100 ส่วนหรือร้อยละ 3 ของข้อมูล)

  1. ในเด็กที่น้ำหนักตัวเกินและเป็นโรคอ้วน เส้นกราฟจะพุ่งขึ้นจากแนวปกติ จึงต้องติดตามและป้องกันก่อนผิดปกติ
  2. การวัดรอบเอวและเทียบกับค่าที่มีการกำหนดเส้นรอบยาว (วัดผ่านสะดือ) ตามเกณฑ์ที่กำหนดดังกล่าวแล้วในข้างต้น (หัวข้อการวินิจฉัย/การประเมินภาวะไขมันสะสมในร่างกาย) ทำให้พบปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้เร็ว ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้เร็วและง่ายต่อการรักษามากกว่าเมื่อเกิดโรคอ้วนจนมีภาวะแทรกซ้อนอื่นตามมาแล้ว ซึ่งจะรักษายากขึ้น
  3. ลดอาหารที่ให้กำลังงาน/พลังงานสูง เช่น แป้ง ไขมัน น้ำตาล
  4. ให้เด็กมีการเคลื่อนไหวและใช้พลังงานเสมอ ไม่เอาแต่นั่งดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมส์นาน ๆ
  5. เปลี่ยนทัศนคติว่า เด็กอ้วนน่ารักและพยายามเลี้ยงให้อ้วน
  6. พ่อแม่ผู้ปกครองควรปฏิบัติเป็นตัวอย่างในเรื่องการรับประทานอาหาร การออกำลังกาย และควรมีกิจกรรมร่วมกันที่ทำให้มีการเคลื่อนไหวมากกว่านั่งดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมส์นาน ๆ

เมื่อไรควรพาเด็กพบแพทย์?

ควรพาเด็กพบแพทย์เมื่อ

  1. เด็กมีน้ำหนักตัวเบี่ยงเบนออกไปจากค่ามาตรฐานจากกราฟการเจริญเติบโตตามเพศและอายุ (ดูได้จากสมุดประจำตัวเด็ก)
  2. เด็กอ้วนกว่าเด็กอายุเดียวกัน
  3. เด็กตัวเตี้ยกว่าเด็กอายุเดียวกัน
  4. เด็กมีอาการนอนกรนหรือมีปัญหาหลับกลางวันมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอาการบ่งบอกว่ามีการอุดกั้นทางเดินหายใจ[1]

[1] ขอขอบคุณที่มาบทความเรื่องเด็กอ้วน เด็กน้ำหนักตัวเกิน ศาสตราจารย์แพทย์หญิงอรุณี เจตศรีสุภาพ โรงพยาบาลท่าตูม จังหวัดสุรินทร์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *