เคล็ด (ที่ไม่) ลับ การแก้เคราะห์กรรม การแก้กรรม

เคราะห์กรรมนั้น เป็นเรื่องที่บางคนก็ให้ความเชื่อถือมาก บางคนก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บางคนก็บอกว่า “เขาไม่เชื่อ แต่ไม่กล้าลบหลู่” บางคนก็ไม่เชื่อเลย หาว่า เป็นเรื่องงมงายไร้สาระ เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องของพุทธศาสตร์ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ บางคนไม่เชื่อเลย ไม่ยอมเชื่อคำทำนายทายทักของใครทั้งสิ้น แต่เมื่อหลังจากที่เผชิญเคราะห์กรรมตามคำทำนายของหมอดูแล้ว จากนั้น ก็กลายเป็นคนที่เชื่อเรื่องนี้อย่างฝังจิตฝังใจ

และคนอีกกลุ่มหนึ่งที่แปลกมากก็คือ ผู้ที่ได้รับการบวชเรียนทางด้านบาลีแล้ว แต่ก็ไม่ยอมเชื่อในเรื่องนี้ กลับหาว่า เรื่องนี้ไม่มีในพุทธศาสนา ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในนิทานธรรมบทอย่างมากมาย อาจเป็นเพราะไม่ค่อยได้ใส่ใจก็ได้

ในพุทธศาสนานั้น จัดแบ่งเคราะห์กรรมเป็น 2 ประเภท คือ

  1. ปริปนฺโถ คือ เคราะห์หรืออันตรายที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
  2. ปริสฺสยํ คือ เคราะห์หรืออันตรายที่รอเวลาเกิด

ปริปนฺโถ คือ เคราะห์หรืออันตรายที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ซึ่งเคราะห์ชนิดนี้ คือ เคราะห์ที่จะเกิดขึ้นเฉพาะหน้า รู้ตัวได้ล่วงหน้า สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถ้าหากประมาทขาดสติ หรือได้รับการศึกษาเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ น้อยเกินไป เช่น อันตรายจากการขับรถยนต์เป็นครั้งแรก หรืออันตรายจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

วิธีแก้เคราะห์กรรมชนิดนี้ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย คือ การใช้สติปัญญาเข้าแก้ไขในเรื่องนั้น ๆ ตามสมควรแก่กรณี เช่น ก่อนขับรถยนต์จริง ๆ ควรเรียนรู้ถึงวิธีการขับรถและกฎการจราจรก่อน หรือก่อนใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด ควรเรียนรู้เรื่องระบบไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ๆ ก่อน ในทางศาสนาเรียกคนประเภทนี้ว่า “นิปโก = ผู้มีปัญญารักษาตัวรอด” (ผู้มีปัญญารักษาไว้ซึ่งตน)

ปริปันโถ = อันตรายเป็นเครื่องเบียดเบียน

ปริสสยัง = อันตรายเป็นเครื่องนอนรอบ

ปริสฺสยํ คือ เคราะห์กรรมที่รอเวลาเกิด (อันตรายที่นอนรอเวลา) เคราะห์ชนิดนี้ คือ เคราะห์ที่เกิดขึ้นจากกรรมเก่าในอดีตชาติเป็นหลัก หรือเคราะห์ที่เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรในชาติที่แล้วตามมาแก้แค้น เคราะห์กรรมชนิดนี้แก้ไขได้ยากมาก แต่ป้องกันได้ง่าย เคราะห์ชนิดนี้ จะรอเวลาเหมือนกันคนนอนรอหรือนั่งรอ คือ รอให้คน ๆ นั้น อายุครบกำหนด อันตรายหรือเคราะห์กรรมชนิดนี้ก็จะให้ผล เช่น รอให้คน ๆ นั้น อายุ 25 ปี 5 เดือน 5 วัน คน ๆ นั้นก็จะได้รับอุบัติเหตุหรือเคราะห์กรรมนั้น ๆ โดยที่ไม่มีสัญญาณเตือนภัยให้ทราบล่วงหน้า เมื่อถึงคราวที่เคราะห์ชนิดนี้ให้ผลวิบากกรรมก็จะสร้างสถานการณ์ให้ผู้นั้นต้องไปประสบเคราะห์กรรมนั้น ๆ เช่น คนบางคน มีถิ่นฐาน บ้านเกิดอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ถ้าดวงชะตาจะต้องเสียชีวิตที่เชียงใหม่ วิบากกรรมก็จะสร้างสถานการณ์ให้ผู้นั้นต้องออกเดินทางจากบ้าน แล้วมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่เชียงใหม่จนได้เคราะห์หรืออันตรายชนิดนี้ จะรอคอยให้คนผู้นั้นมาประสบกับเคราะห์กรรม ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งที่กรรมได้กำหนดเอาไว้ แต่ถ้าหากก่อนจะถึงกำหนดเวลาที่จะประสบเคราะห์กรรม ผู้นั้นเปลี่ยนไปดำเนินชีวิตในอีกรูปแบบหนึง ซึ่งดีขึ้นกว่าเดิมและเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เช่น ไปบวชพระ – บวชเณร – บวชชีพราหมณ์ หรือถือศีลกินเจปฏิบัติธรรมชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือจนกว่าเคราะห์กรรมนั้น ๆ จะผ่านพ้นไป ก็จะปลอดภัยได้

วิธีแก้เคราะห์กรรม แก้กรรมมีหลายวิธี โดยเริ่มจาก

  1. ให้เจริญ (แผ่) เมตตามาก ๆ ยิ่งถ้าเจริญจนถึงขั้นได้ฌาน ก็จะแก้เคราะห์กรรมได้เกือบทุกชนิด ยกเว้นกรรมที่เป็นผลมาจากอนันตริยกรรม การแก้ไขโดยวิธีนี้ เป็นวิธีที่ดีที่สุด นอกจากจะเป็นการป้องกันและแก้ไขเคราะห์กรรมไปในตัวแล้ว ยังได้รับอานิสงส์ของเมตตาอีก 11 ประการ เป็นกำไรอีกด้วย อีกทั้งไม่เสียเงินทอง ไม่ต้องยุ่งยากรบกวนผู้อื่น
  2. ถ้าไม่สามารถทำเหมือนข้อที่ 1 ได้ ให้ตรวจสอบดวงชะตาชีวิตของตนเป็นประจำทุก ๆ ปี เมื่อทราบว่า ช่วงเดือนไหนเป็นอย่างไรแล้ว ก็จะได้เตรียมรับมือกับเคราะห์กรรมนั้น ๆ ได้ล่วงหน้า เช่น ซึ่ง

ถ้าจะมีปัญหาเกี่ยวกับทางด้านการเงิน ก็ให้ระมัดระวังการใช้จ่ายและการให้ผู้อื่นกู้ยืม เพราะถ้าให้ไปแล้ว อาจจะไม่ได้คืน (มีเงินให้ผู้อื่นกู้ มีความรู้อยู่ในหนังสือ ใช้ประโยชน์ไม่ได้)

ถ้าจะมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ก็ให้ระมัดระวังคำพูดและการกระทำบางอย่าง อย่ารับปากใครง่าย ๆ และให้พยายามเก็บเนื้อเก็บตัว เพราะคนที่มีเคราะห์กรรมนั้น “ผีมักซ้ำ ด้ามมักพลอย” หมายความว่า ไม่ว่าจะทำอะไรในช่วงนั้น มักซวยไปทั้งหมด ยกเว้นการทำความดี

ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับเคราะห์กรรม ก็ให้ใช้สติปชัญญะในการดำเนินชีวิตให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก 2 หรือ 3 เท่า ถ้าไม่เช่นนั้นจะประสบอุบัติเหตุได้ง่ายมาก

  • เมื่อเข้าสู่เขตที่จะได้รับเคราะห์กรรม ให้ถือศีลกินเจปฏิบัติธรรม ให้ตัดขากจากโลกภายนอกไปสักระยะหนึ่ง เช่น อาจจะสัก 7 วัน 1 เดือน หรือ 3 เดือนก็ได้
  • ถ้าจะป้องกัน ให้ทำก่อนที่จะได้รับเคราะห์กรรมอย่างน้อย 7 วัน อย่ารอให้กรรมเข้าสู่กระบวนการให้ผลแล้ว มิฉะนั้น จะแก้ไขไม่ได้เลย เพราะวิบากกรรมนั้นจะสร้างสถานการณ์ให้ผู้นั้น คิดผิด เห็นผิด พูดผิด ทำผิด และตัดสินใจผิด เพื่อให้ตนต้องได้รับเคราะห์กรรมนั้น เช่น เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความตายเป็นเรื่องสนุก เห็นความทุกข์เป็นเรื่องน่าลอง

ในข้อนี้ สังเกตดูได้จากคนบางคนที่รอจนกระทั่งกรรมเข้าสู่กระบวนการให้ผลแล้วจึงแก้กรรม จะแก้ไขไม่ได้ เช่น คนบางคนประสบอุบัติแหตุเสียชีวิตขณะที่กำลังไปสะเดาะเคราะห์ ส่วนบางคนก็ประสบอุบัติเหตุขณะที่กลับจากสะเดาะเคราะห์แล้ว ดังนี้เป็นต้นในข้อนั้น มีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์

ถ้าหากเราไปฆ่าผู้อื่นเสียชีวิต ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว เราจะต้องรีบหลบหนี หรือไม่ก็รีบไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ หรือไม่ก็รีบไปเจรจาเพื่อจ่ายเงินให้กับญาติของผู้ตายก่อน ก็อาจรอดพ้นจากคุกได้ แต่ถ้าหากปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวไปแล้ว ทำประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือแล้ว การจะแก้ไขให้รอดพ้นจากคุกตารางเป็นเรื่องยุ่งยากมาก การจะแก้เคราะห์กรรมในอดีตชาติก็เช่นกัน ถ้าหากกรรมเข้าสู่กระบวนการให้ผลแล้ว แก้ไขแทบไม่ได้เลย แต่ป้องกันได้

  • ขอบารมีธรรมของท่านผู้มีบุญช่วยคุ้มครอง เช่น ขอบารมีธรรมของเสด็จพ่อ ร. 5 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เทพเทวาหรือพระพรหมองค์อื่น ๆ ให้ท่านช่วยคุ้มครอง ดุจผู้ที่ทำความผิดแล้วหนีไปซุกปีกผู้มีอิทธิพล ก็อาจจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่มากนัก และในขณะที่ขอบารมีจากท่านให้ช่วยคุ้มครอง ห้ามไปทำความชั่วอย่างนั้นซ้ำอีก
  • ถ้าหากในขณะนี้ ยังไม่มีเคราะห์กรรมอะไร เราก็ควรป้องกันก่อน (ป้องกันดีกว่าแก้ไข) โดยภาหลังภารทำบุญทุกครั้ง ควรทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในชาติก่อน ๆ ที่เขายังอาฆาตเราอยู่ ที่เขายังไม่ให้อภัย ถ้าหากเขาเห็นเราทำอย่างนี้บ่อย ๆ เขาอาจใจอ่อนให้อภัยเราก็ได้ กรรมนั้นก็จะกลายเป็นอโหสิกรรม เมื่อถึงเวลาที่จะได้รับเคราะห์กรรมก็อาจจะไม่เป็นอะไรเลย เพราะเขาให้อภัยเราแล้ว

สรุปวิธีแก้เคราะห์กรรม แก้วิบากกรรม แก้กรรม

  1. ถ้าเป็นเคราะห์กรรมที่เกิดจากเหตุปัจจุบัน ให้ใช้ปัญญาเข้าแก้ไข
  2. ถ้าเป็นเคราะห์กรรมที่เกิดจากอดีตชาติ ให้ถือศีลกินเจปฏิบัติธรรม เพราะการบวชปฏิบัติธรรม เช่น บวชเป็นพระ เณร ชีพราหมณ์ เป็นการแก้เคราะห์กรรมที่ดีที่สุด
  3. ในขณะที่กำลังแก้เคราะห์กรรมอยู่นั้น ห้ามทำชั่วอย่างนั้นซ้ำอีกอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น จะแก้กรรมไม่ได้ ดุจคนที่กำลังรักษาโรคตับแข็งเพราะดื่มเหล้าจัด ในขณะที่กำลังรักษาอยู่นั้น ห้ามดื่มเหล้าซ้ำอีก
  4. เคราะห์กรรมบางอย่างแก้ไขไม่ได้ เพราะอยู่นอกเหนือวิสัยของเราก็ให้ทำใจเตรียมรับมือกับปัญหานั้น หรือไม่ก็พลิกปัญหาให้เป็นโอกาส ก็จะพลิกร้ายให้กลายเป็นดีได้

จากที่กล่าวมานี้ เฉพาะกรรมที่ไม่หนักเท่านั้น แต่ถ้าหากเป็นกรรมหนัก เช่น เป็นผลมาจากอนันตริยกรรม ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ จะต้องก้มหน้ารับกรรมนั้นต่อไป ดังเช่น พระมหาโมคคัลลานะถูกทุบจนเสียชีวิต เพราะในชาติที่แล้วเคยฆ่ามารดาของตน ซึ่งในทางพุทธศาสนา มีอาวุธอยู่ 2 อย่าง คือ

  1. ปัญญาวุธ อาวุธ คือ ปัญญา หรือปัญญาประดุจดังอาวุธ ใช้สำหรับแก้ไขเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ที่มองเห็นได้ (ใช้แก้เคราะห์กรรมประเภทที่ 1)
  2. เมตตาวุธ อาวุธ คือ เมตตา ใช้สำหรับแก้ไขเคราะห์กรรม หรืออันตรายที่มองไม่เห็น (ใช้แก้เคราะห์กรรมประเภทที่ 2)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *