ทวดตาสอน (1)

เรื่องคำสัตย์ที่ “ทวดตาสอน” ได้เอ่ยวาจาไว้ช่วงหนึ่งในฝันว่า “…ใครก็ตามแต่ที่คิดร้าย จ้องจะยึดที่ดินตรงเกาะไปครอบครองเป็นสมบัติเพียงส่วนตน เราจัดตามไปเอาชีวิต ไม่ว่ามันจะเป็นใคร…” กลายเป็นเรื่องจริงโดยการเล่าลือของชาวบ้านที่นี่ว่า เคยมีชาวบ้านในสมัยก่อนเห็นว่า ที่ดินตรงบริเวณนี้เป็นแปรงดินที่สวย จึงพยายามจะยึดเอามาเป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองของตนเอง โดยชาวบ้านคนนั้นพยายามเอาต้นยางมาปลูกบนเกาะฐาน แต่ปรากฏว่า ปลูกยังไงต้นยางก็ไม่ขึ้นเสียที ต้นยางทุกต้นที่ปลูกกลับล้มตายลงหมดจนไม่เหลือ ชาวบ้านเล่าต่อว่า คืนนั้นมีชาวบ้านเห็นชายชราที่ค่อย ๆ เดินออกมาจากป่ารกในเกาะฐานกลายร่างเป็นงูจงอางขนาดใหญ่ จากนั้น ก็เลื้อยไปยังบ้านของผู้บุรุกที่ดินบนเกาะฐาน หมายเอาชีวิตชาวบ้านผู้นั้นจนต้องวิ่งหนีเอาชีวิตเกือบไม่รอด เป็นเรื่องจริงที่ชาวบ้านทุกคนที่พยายามถางป่าที่นี่เพื่อปลูกยางหรือทำเกษตรกรรม มักเจองูจงอางตนนี้ (ที่เชื่อว่า เป็น “ทวดตาสอน”) เล่นงานเสียทุกครั้งจนขวัญหนีตีฝ่อ บ้างก็เจอเสือ เจองูจงอางสีขาว และชะนีเผือกส่งเสียงร้องโหยหวนขับไล่ผู้มาเยือนอย่างน่าขนลุก ไม่มีใคร หรือชาวบ้านคนใดจะสามารถปลูกเพิงพักอาศัยอยู่ที่นี่ได้ แม้นลูกยางพาราที่ปลูกอยู่ภายในสวนของชาวบ้านตรงข้ามลำคลองขวางกั้นเกาะฐานอาจเคยถูกลมพัดลอยมาตกที่นี่บ้าง แต่เป็นเรื่องแปลกที่ลูกยางไม่สามารถงอกได้แม้กอเดียว ชาวบ้านล้วนเชื่ออย่างสนิทใจว่า เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของทวดที่ไม่ต้องการให้ลูกยางงอกออกมาได้ และต้องการดำรงสถานที่แห่งนี้ไว้เป็นที่ดินสาธารณะสำหรับทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม

หลายปีผ่านไป ชาวบ้านในพื้นที่เชื่อในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของทวดตาสอน จึงพากันไปไหว้ท่าน เพื่อขอเข้าไปตัดไม้มาสร้างหลาถวายให้ “ทวดตาสอน” ใช้สำหรับสถิตดวงวิญญาณ หรือเพื่อปกป้องคุ้มครองชาวบ้านในพื้นที่ให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข และเรียกว่า “หลาตาสอน” นับตั้งแต่บัดนั้น (หลา หมายถึง เพิงสร้างด้วยไม้ มีหลังคาขนาดเล็ก) โดยระหว่างที่มีการสร้างหลาได้มีชาวบ้านส่วนหนึ่งออกทุนทรัพย์ และหาช่างมาปั้นรูปงานประติมากรรมงูจงอางขนาดใหญ่ม้วนตัวชูคอแผ่พังพานอย่างน่าเกรงขามไว้ภายในศาลด้วย โดยให้เป็นรูปแทนตนของทวด

งูตนนี้แปลกแตกต่างจากงูจงอางโดยปกติทั่วไปตรงที่มีหงอนงอกออกมาตรงบริเวณกลางหัวด้วย โดยลักษณะของหงอนเสยขึ้นบน มีส่วนของปลายหางที่ด้วนแหว่งหายไป (หางส่วนปลายขาดไป/สอบถามชาวบ้านในพื้นที่แล้วไม่มีใครทราบว่า ทำไมหางของท่านถึงขาด) รูปประติมากรรมตนนี้ปั้นโดยช่างพื้นถิ่น ชื่อ “ตาหลวงกุ้ย” โดยปั้นเสร็จก็ทำพิธีทางไสยศาสตร์ (พิธีเรียกดวงวิญญาณของทวดตาสอนเข้าสถิตภายในอีกครั้ง) มีเรื่องเล่าว่า “เดือน 5 มีการเชิญมโนราห์มารำถวายทวดตรงหน้าหลา ขณะที่มโนราห์กำลังทำพิธี ทวดก็มาเข้าทรงในร่างของมโนราห์ที่กำลังรำอยู่ ปรากฏว่า มโนราห์ตนนั้นกลับสงบนิ่งลง ไม่รำต่อ แม้นเสียงดนตรีกำลังเร่งเร้าโรมรันขนาดไหน มโนราห์ก็ยังนิ่งเฉย จนกระทั่ง ไม่นานมโนราห์ก็นอนราบลงกับพื้น เลื้อยอย่างงูจงอาง และขึ้นไปบนหลาทวด” ชาวบ้านเชื่อว่า ทวดรับรู้ถึงแรงศรัทธาของผู้คนในพื้นที่แห่งนี้แล้ว จึงเลื้อยขึ้นหลาไปสถิตภายในรูปปั้น ต่อมา รูปประติมากรรม “ทวดตาสอน” ภายในหลาทวดจึงกลายเป็นสิ่งเคารพบูชา ที่พึ่งทางใจสำหรับชาวบ้านเกาะฐานนิยมมากราบไหว้บูชา เซ่นสรวงขอพรและ “บน” (สัญญาว่าจะให้) นับแต่บัดนั้น

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับฤทธิ์เดชานุภาพที่ “ทวดตาสอน” เคยสร้างไว้ในความทรงจำของชาวบ้านที่นี่อีกเรื่องกับวาจาสิทธิ์ที่ทวดเคยได้ลั่นเอาไว้ว่า “ที่ดินตรงนี้เป็นของทวด ถ้าไม่ขอด้วยธูป 9 ดอก กูไม่ให้ใครใช้สิ้น” ครั้งนั้น คือ ทางวัดต้องการที่จะขุดบ่อบาดาลเอาไว้สำหรับใช้ในหน้าแล้ง แต่ปรากฏว่า ทั้งพระในวัดและทั้งช่างขุดบ่อ ลืมมาขอทวด ปรากฏว่า ไม่ว่าจะขุดลงไปตรงบริเวณไหนของดินวัด จะพบเจอแต่สิ่งที่ไม่ดี พบแต่อุปสรรคขัดขวางทั้งสิ้น เช่น ขุดลงไปตรงจุดไหนก็เจอแต่ผี (ผี = โครงกระดูกมนุษย์) ซึ่งแต่เดิมจริง ๆ พื้นที่บริเวณที่เคยทำการขุดบ่อบาดาลนี้ นอกจากเป็นป่ารกของทวด ก่อนสร้างวัดเกาะฐานตรงนี้จริง ๆ เคยเป็นสถานที่เผาศพมาก่อน (เผาแบบกองฟอน หรือการเผาแบบเชิงตะกอนกลางแจ้ง) จึงไม่แปลกที่รอบ ๆ บริเวณนี้ขุดลงไปก็มักเจอแต่ผี (โครงกระดูก หรือศพ) เป็นจำนวนมาก เชื่อกันในหมู่ชาวบ้านว่า ถ้าทำการขอกับทวดตาสอนด้วยธูป 9 ก้าน น้ำแก้วหนึ่ง ใบจาก – ยาเส้น แล้วขุดลงไปจะไม่เจอผี (โครงกระดูก – ศพ) อีกเลย หรือถ้าเจอทวดก็จะให้พร คือ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น สามารถขุดบ่อบาดาลให้จนแล้วเสร็จได้

อนึ่ง มีความเชื่อว่า ช่างคนแรกที่ได้รับการว่าจ้างให้มาทำการขุดบ่อบาดาลไม่เชื่อในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของทวด คือ พอมาถึงวัดก็จะขุดท่าเดียวให้เสร็จ ๆ เพื่อรับเงิน ทวดเลยแช่งให้เป็นไข้จนเกือบเสียชีวิตมาแล้ว จนวันนั้นต้องมาทำการขอขมากับทวดจึงหายป่วย และสามารถขุดบ่อบาดาลได้จนแล้วเสร็จ หรือในกรณีที่ชาวบ้านมาขอจัดกิจกรรมใน “วันว่าง” ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมในที่ดินของทวดแต่ลืมไม่มาแก้บนตามสัญญา ก็เคยถูกทวดมาตาม “ทวงบน” หรือตามมาทำร้ายได้ถึงที่บ้านมาแล้ว เล่าลือกันว่า ทวดชอบแสดงฤทธิ์ด้วยการกลายร่างเป็นงูพญาตะบองหลา มีหงอนแดงตรงกลางหัว ลำตัวมีลายพาดอย่างจงอาง ที่สำคัญมีหางกุด เลื้อยนำขบวนบรรดางูใหญ่น้อย ล้อมบ้านของชาวบ้านผู้นั้นไว้ บ้างก็ว่า ทวดชอบเลื้อยขึ้นไปขดตัวบนหลังคาบ้าน พอเจ้าของบ้านเผลอเดินออกมาทางประตู ทวดตาสอนก็จะกระโจนลงมาพาดลนพลังทำเอาชาวบ้านคนนั้นขวัญหนีดีฝ่อ ขนหัวตั้งมานับไม่ถ้วนหลายรายก็ว่าได้

หรือในเรื่องของการ “ขอที่ดินทวด” เพื่อสร้างอาคารภายในวัดเกาะฐาน ก็ต้องมาบอกทวดทุกครั้ง ชาวบ้านเชื่อว่า ถ้าไม่มาบอกทวดคนงานก่อสร้างจะไม่สามารถสร้างตัวอาคารภายในที่ดินของท่านได้ ซึ่งเรื่องนี้พระอธิการวุฒิศักดิ์ รกฺขิตฺโต ยอดทอง ได้เล่าเอาไว้ตอนหนึ่งว่า เจ้าอาวาสรูปก่อน ๆ ไม่ขอที่ดินของทวดก่อนสร้างตัวอาคารเลยมักเจอเรื่องแปลก ๆ น่ากลัวขึ้นมากมายคล้ายตอนขุดบ่อบาดาล คือ ขุดดินลงไปตรงไหนก็เจอแต่ผี (ศพคนตาย) ประจวบกับเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 ทางวัดต้องการสร้างกุฏิสงฆ์ จึงไปตามคนทรงท่านที่รับช่วงต่อจาก “ตาหลวงกุ้ย” มาทำพิธี คนทรงท่านนี้ชื่อ “หมอท่ามย่ามแดง” (คนทรงรุ่น 2) พอท่านมาก็เข้าทรงเพื่อติดต่อกับทวดตาสอน ไม่นานคนทรงก็ลมลงแล้วเลื้อยเป็นงู คือ เลื้อยไปเรื่อย ๆ จนถึงสถานที่ที่กำลังจะก่อสร้างกุฏิสงฆ์ แล้วทวดก็อนุญาตให้สร้างได้ การก่อสร้างก็สามารถกระทำได้อย่างราบรื่นเรื่อยมาจนชาวบ้านเอาไปเล่าลือกันว่า เพราะบารีของทวดท่านช่วยไว้

อำนาจอิทธิฤทธิ์ของ “ทวดตาสอน” ในการเข้าฝันที่ผู้คนในจังหวัดใกล้เคียงเคยประสบพบเจอมาด้วยตนเอง ชาวบ้านเล่าเพิ่มเติมเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งทวดได้แสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการไปเข้าฝันทนายความในจังหวัดพัทลุงให้มาไหว้ ประจวบเหมาะกับที่ทางทนายกำลังระดมทุนทรัพย์สำหรับใช้ทอดกฐินกับวัดที่ห่างไกลความเจริญ และต้องการความช่วยเหลือพอดี แต่ยังเลือกรายชื่อของวัดที่ต้องการทอดฯให้ไม่ได้ พอถูกทวดงูตาสอนมาเข้าฝัน เลยเกิดอาการ งง ว่าสิ่งที่ได้เห็นในฝัน เป็นรูปงูใหญ่แผ่พังพานอย่างน่าเกรงขาม มีหงอนกลางหัว หางด้วน เลื้อยมาให้ไปช่วยวัดทอดกฐินหาเงินทำนุบำรุงพระพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงความเพ้อฝัน พอดีกับที่คุณทนายมีเพื่อนอยู่แถวนี้ เลยโทรมาหาและถามไถ่ถึงศาลที่มีงูเป็นเจ้าที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เพื่อนได้ตอบกลับมาว่า ศาลในฝันนั้นมีอยู่จริง ๆ ชื่อว่า “ศาลทวดตาสอน” ทนายความและผู้มีจิตศรัทธาจากจังหวัดพัทลุงคณะนี้ จึงรีบเดินทางมาทอดกฐินยังวัดเกาะฐาน เลขที่ 108 บ้านเกาะฐาน หมู่ที่ 3 ตำบลหนองช้างแล่น อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง การทอดกฐินในครั้งนั้น ปรากฏว่า ทำให้ทางวัดได้รับทุนทรัพย์สำหรับทำนุบำรุงตัวอาคารที่เก่าและทรุดโทรจนแล้วเสร็จหลายหลัง

ท่านผู้อ่านสามารถอ่านเรื่อง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ “ทวดตาสอน” “ตาอินทร์ศร” หรือ “งูศักดิ์สิทธิ์” จังหวัดตรัง และเรื่อง บารมีคุ้มครองจาก “ทวดตาสอน” “ตาอินทร์ศร” หรือ “งูศักดิ์สิทธิ์” จังหวัดตรัง

[i] ขอบคุณที่มาบทความ ความเชื่อทางจิตวิญญาณทวดที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมท้องถิ่น. ศศลักษณ์ ทองขาว, คุณาพร ไชยโรจน์ และอำนาจ ทองขาว. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *