วิธีการสื่อสารเรื่องเพศศึกษาให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละวัย มีวิธีการอย่างไรบ้าง

วิธีการสื่อสารเรื่องเพศศึกษาให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละวัย มีวิธีการอย่างไรบ้าง

การตอบสนองต่อคำถามหรือพฤติกรรมทางเพศของเด็กมีสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องตระหนัก คือ น้ำเสียงคำพูดที่ใช้พูดคุย กิริยา สีหน้าท่าทางที่แสดงออกของผู้ใหญ่ เป็นการส่งสารให้กับเด็กว่า ผู้ใหญ่มองเรื่องเพศแบบไหน เช่น ผู้ใหญ่ทำท่าโกรธ ตะคอก ไม่พอใจ ตอนที่เด็กชายเล่นอวัยวะเพศตนเอง สารที่ส่งให้เด็ก คือ เรื่องเพศเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ไม่ได้รับการยอมรับ ผู้ใหญ่คิดว่า สิ่งที่ตนแสดงออกไปนั้น เด็กไม่เข้าใจและไม่สามารถจำได้ เช่น เด็กหญิง 5 ขวบเห็นพ่อแม่มีเพศสัมพันธ์กัน เด็กนำท่าทางที่เห็นไปเล่นกับเพื่อนแถวบ้าน เมื่อผู้ใหญ่เห็นเด็กเล่นแบบนั้น รู้สึกสนุก หัวเราะ ยุให้เด็กทำเพิ่ม ไม่ห้ามปราม เด็กจะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่เหมาะสม สามารถทำได้ เด็กจะนำพฤติกรรมแบบนั้นไปทำต่อในสถานที่อื่น ๆ นอกครอบครัว เนื่องจาก เด็กไม่สามารถมีวิจารณญาณมากพอที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่ทำนั้นเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เด็กจะเรียนรู้ซึมซับจนกลายเป็นความเชื่อและค่านิยมของเด็กเอง ซึ่งอาจจะติดตัวไปจนเด็กเป็นผู้ใหญ่ และสิ่งเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดต่อไปยังรุ่นลูก รุ่นหลาน หากเรื่องเพศศึกษาที่เด็กเรียนรู้เป็นสิ่งที่ผิด ผลที่ตามมา คือ วงจรอุบาทว์ที่ไม่มีวันจบสิ้น เช่น ครอบครัวที่มีแม่เป็นวัยรุ่นตั้งครรภ์ไม่พร้อม ขาดคนรอบข้างให้ความช่วยเหลือ ลูกที่เกิดมาอาจได้รับการเลี้ยงดูไม่เหมาะสม เห็นแม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย เมื่อเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะมีเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับแม่ของตนเอง เพราะเด็กเรียนรู้ว่า พฤติกรรมเหล่านี้ คือ สิ่งปกติที่สามารถทำได้ นำไปสู่การที่เด็กตั้งครรภ์ไม่พร้อมเหมือนกับที่แม่ของตนเองเคยเป็น

หลักสำคัญในการสื่อสารและสอนเด็กเรื่องเพศศึกษา คือ

สิ่งสำคัญที่สุดก่อนที่จะตอบคำถามหรือตอบสนองต่อพฤติกรรมของเด็ก คือ ผู้ใหญ่ต้องสงบสติอารมณ์ เพื่อที่จะใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมว่า จะพูดหรือทำอะไร ไม่ควรแสดงออกด้วยคำพูดหรือปฏิกิริยาที่รุนแรงออกไป เพราะจะเป็นผลเสีสยมากกว่าผลดี หากยังไม่แน่ใจว่าจะตอบสนองอย่างไรหรือสถานการณ์ขณะนั้นไม่เหมาะที่จะสอนเด็ก สามารถขอเวลานอก นำเรื่องนี้ไปปรึกษาผู้ใหญ่คนอื่นก่อน หรือตอบสั้น ๆ เท่าที่จะทำได้ในตอนนั้น แล้วกลับมาอธิบายให้เด็กฟังในภายหลัง เช่น เด็กอายุ 4 ปี ร้องตะโกนถามพ่อในงานปีใหม่ที่มีคนอยู่เยอะ “พ่อครับ..ทำไมผมต้องมีจู๋ด้วย มันไว้ใช้อะไร ทำไมแม่ไม่มี” พ่อประเมินแล้วว่า การตอบคำถามในสถานการณ์แบบนี้ไม่เหมาะสม พ่อควรตอบด้วยท่าทีสงบ ไม่แสดงอารมณ์ ไม่ดุด่าเด็ก พ่ออยากอธิบายเรื่องนี้ให้หนูฟัง แต่ตอนนี้มีคนอื่นอยู่เยอะ พอเรากลับบ้าน เราจะมาคุยเรื่องนี้กันอีกทีนะ”

หากเด็กมีพฤติกรรมหรือคำถามทางเพศที่ผู้ใหญ่เห็นว่า ไร้เดียงสา เช่น “เมื่อไรผมจะมีขนที่จู่ ผมอยากมีบ้าง จะได้เหมือนของพ่อ” ผู้ใหญ่ไม่ควรหัวเราะ ไม่พูดเรื่องไม่จริงกับเด็ก “อ๋อ หนูต้องกินสาหร่ายมาก ๆ ขนจะได้ขึ้นเหมือนพ่อ” เพราะเด็กจะรู้สึกว่า ผู้ใหญ่ไม่ให้ความใส่ใจกับสิ่งที่ตนถามหรือถือสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดเป็นจริงเป็นจัง หรือเด็กลูบอวัยวะเพศตนเองจนแข็งแล้วมาชี้ให้คนในบ้านดูผู้ใหญ่เห็นว่า เป็นเรื่องตลกเลยหัวเราะ เป็นการให้แรงเสริมว่า การที่เด็กเปิดอวัยวะเพศให้คนอื่นดูเป็นสิ่งที่คนอื่นชอบและสามารถทำได้ ต่อไปเด็กจะมีพฤติกรรมนี้ต่อไปเรื่อย ๆ และอาจไปทำนอกบ้าน เช่น ในห้องเรียน

หากเด็กถามเรื่องอวัยวะส่วนต่าง ๆ ควรใช้คำศัพท์ที่เหมาะสม เป็นสากลในสังคมที่อาศัยอยู่ ไม่ใช่คำแสลงหรืออำเด็ก เช่น เด็กชายถามชื่อเรียกอวัยวะเพศของตนเอง ผู้ใหญ่ควรตอบว่า “อันนี้เรียกว่า จู๋” ไม่ควรบอกเด็กว่า “ตรงนี้เรียกว่า จำปีน้อย” เพราะจะทำให้เด็กเกิดความสับสน

ก่อนจะตอบคำถามหรือสอนเด็ก ควรถามเด็กด้วยคำถามปลายเปิด ให้เด็กมีโอกาสอธิบาย เพื่อทำความเข้าใจว่าเด็กเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร ทำไมเด็กถึงถามหรือทำแบบนี้ เด็กเรียนรู้เรื่องนี้มาจากไหน เด็กรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้

เมื่อตอบเด็กไปแล้ว สังเกตการตอบสนองของเด็ก ควรเปิดโอกาสให้เด็กถามเพิ่มหรือให้เด็กทวนว่า เข้าใจว่าอย่างไร หากไม่ถูกต้องจะได้แก้ไขทันที คำตอบควรสั้น กระชับ เข้าใจง่าย เหมาะสมกับวัยของเด็ก ไม่อธิบายมากจนเกินไปเพราะจะทำให้เด็กสับสน

ผู้ใหญ่ต้องเตรียมใจว่า แม้จะได้สอนเด็กเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เด็กจะถามซ้ำ ๆ ทั้งในสถานการณ์เดียวกันหรือสถานการณ์อื่น เวลาอื่นอีก เช่น คำถามว่า “หนูเกิดมาได้อย่างไร” พ่อแม่อาจตอบตอนเด็กอยู่อนุบาล พอขึ้นชั้นประถม เด็กถามซ้ำอีก พ่อแม่ต้องอธิบายซ้ำ แต่ใช้คำพูดและมีรายละเอียดที่ต่างไปจากเดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *