พระศิวะกับพระสตี (พระอุมา)

พระสตีมีรูปโฉมงดงาม เป็นพระธิดาองค์โตของพระทักษะประชาบดีโอรสของพระพรหม แม้ว่า จะมีเหล่าเทพทั้งหลายหมายปอง แต่พระสตีมีความภักดีต่อพระศิวะเพียงพระองค์เดียว เมื่อเข้าพิธีสยุมพร พระสตีจึงเลือกพระศิวะเป็นพระสวามี ทำให้พระทักษะประชาบดีไม่พอใจมาก

ครั้งหนึ่งพระทักษะประชาบดีจัดพิธีพฤหัสปติวสนะซึ่งเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ขึ้น ในการนี้พระทักษะประชาบดีได้เชิญทวยเทพมาเป็นจำนวนมาก ยกเว้นแต่พระสตรีกับพระศิวะ เมื่อพระสตรีได้ทราบข่าวจึงเสด็จมา แล้วถามพระทักษะประชาบดีว่า เหตุใดจึงไม่เชิญพระศิวะมาร่วมงาน

เมื่อพระทักษะประชาบดีตอบอย่างไม่สนใจไยดี พระสตีจึงรู้ว่า พระศิวะผู้เป็นพระสวามีถูกลบหลู่ในเสียเกียรติ พระสตีจึงเสด็จไปยังกองไฟที่เตรียมไว้สำหรับพิธี แล้วกระโจนลงกองไฟถึงแก่ความตาย อันกลายเป็นที่มาของพิธี “สตี” ที่หญิงหม้ายชาวอินเดียต้องกระโดดเข้ากองไฟฆ่าตัวตายหลังสามีเสียชีวิต

เมื่อพระศิวะทราบข่าวว่า พระสตีสิ้นพระชนม์ก็ทรงพระพิโรธมาก ทรงกลายร่างเป็นพระไภรวะ (พระศิวะปางดุร้าย) มีเทพอสูรวีรภัทร และภัทรกาลีนำเสด็จ มุ่งไปยังสถานพิธี พระไภรวะได้สังหารพระทักษะประชาบดีแล้วขว้างศีรษะไปนอกจักรวาล จากนั้น จึงกลับร่างเป็นพระศิวะ ทรงเศร้าโศกถึงพระสตีจึงเสด็จเร่ร่อนไปตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วภายหลังเสด็จกลับไปบำเพ็ญเพียรที่เทือกเขาหิมาลัย

ระหว่างนั้นอสูรทั้งหลาย โดยเฉพาะอสูรชื่อว่า “ตารกะ” ได้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายให้เทวดาและมนุษย์ เพราะเห็นว่า พระศิวะไม่ได้ประทับอยู่ ร้อนถึงเทวดาพากันไปเฝ้าพระพรหม พระพรหมตรัสว่า ต้องรอจนพระสตี กลับมาเกิดใหม่แล้วได้พบกับพระศิวะ พระศิวะจะอภิเษกสมรสกับพระสตีที่มาเกิดใหม่ มีพระโอรสด้วยกัน คือ “พระสกันทกุมาร” ซึ่งจะปราบอสูรต่อไป แต่พระกามเทพจะต้องเสียสละตนเองในครานี้

ส่วนพระสตีนั้นเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ได้เกิดใหม่เป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง ซึ่งท้าวหิมวัตและนางเมนาได้เก็บมาเลี้ยงไว้ และได้ชื่อว่า “ปารวตี” ซึ่งหมายถึง “ธิดาของภูเขา” (หิมวัต แปลว่า ภูเขาหิมาลัย)

เมื่อพระปารวตีทรงเจริญวัยขึ้นจึงทราบวา ตนถูกกำหนดมาให้เป็นคู่ครองของพระศิวะเพียงองค์เดียว พระปารวตีจึงตั้งพระทัยภักดีต่อพระศิวะด้วยการบำเพ็ญเพียรต่อพระศิวะเป็นเวลาพันปี จนท้าวหิมวัตและนางเมนามาห้ามด้วยคำอุทานว่า “อุมา” ซึ่งแปลว่า “โอ อย่าเลย” อันกลายมาเป็นพระนามของพระปารวตีนับแต่นั้น

เมื่อท้าวหิมวัตทราบความในใจของธิดา จึงไปขอให้พระกามเทพช่วยเหลือ พระกามเทพก็ยินดีช่วย เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก ด้วยเหตุนี้พระกามเทพกับพระวสันต์ รวมทั้งท้าวหิมวัต นางเมนา และพระอุมา จึงเสด็จไปยังที่ประทับของพระศิวะ จากนั้นพระวสันต์เนรมิตให้ฤดูเหมันต์ (ฤดูหนาว) หายไปกลายเป็นฤดูวสันต์ (ฤดูใบไม้ผลิ) แล้วให้พระอุมาไปประทับอยู่ต่อหน้าพระศิวะ

เมื่อพระศิวะเริ่มรู้สึกพระองค์ ทรงค่อย ๆ ออกจากสมาธิแล้ว ลืมพระเนตรเล็กน้อย ในขณะนั้น พระกามเทพได้ยิงศรไปต้องพระอุระของพระศิวะในทันที พระศิวะทรงสะดุ้งแล้วลืมพระเนตรขึ้นเห็นพระอุมาอย่างเต็มตาก็พอพระทัย แต่เมื่อทรงได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ก็ทราบว่า พระกามเทพแผลงศรใส่พระองค์ แล้วโอ้อวดกับนางรตีผู้เป็นชายาว่า พระผู้เป็นเจ้ายังไม่พ้นอำนาจแห่งศรตน

พระศิวะกริ้วแล้วลืมพระเนตรที่สามกลางพระนลาฏ เกิดไฟเผาร่างพระกามเทพเป็นจุณ ด้วยเหตุนี้พระกามเทพจากเทพผู้มีรูปงามก็ได้กลายเป็นอากาศธาตุ มีแต่ดวงจิต ไม่มีรูปร่างอีกต่อไป จึงได้พระนามใหม่ว่า “พระอนงค์” หมายถึง “ผู้ไม่มีร่าง” นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ส่วนพระศิวะหลังจากลงโทษพระกามเทพ ทรงเหลือบดูพระอุมาแล้วหายพระองค์ไป ทำให้พระอุมาเศร้าเสียพระทัยยิ่งนัก แต่พระอุมายังตั้งพระทัยบูชาพระศิวะเพียงพระองค์เดียว ตราบจนพระศิวะได้ทดลองความภักดีของพระอุมาจนทราบว่า พระอุมาภักดีต่อพระองค์อย่างแท้จริง พระศิวะจึงรับพระอุมาเป็นชายา ในเวลาต่อมา พระอุมาประสูติพระโอรส คือ “พระขันธกุมาร” ซึ่งปราบตารกะได้สำเร็จ โลกจึงมีความสงบสุขอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *