ดินแดน “อินเดีย” อันเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณที่สำคัญในซีกโลกตะวันออกได้ให้กำเนิดและเผยแพร่ความรู้เรื่องจักรวาลวิทยาไปยังดินแดนอื่น ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อม ๆ กับการเผยแผ่ศาสนาอันมีคติเรื่องจักรวาล ซึ่งจะอธิบายถึงลักษณะที่เป็นนามธรรมที่เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติและเชื่อมโยงมนุษย์เข้าเป็นส่วนหนึ่งไว้เป็นสาระสำคัญ[1]
“จักรวาลวิทยา” ของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูที่กำเนิดขึ้นในอินเดียนั้น แรกเริ่มมีวิวัฒนาการมาจากสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัว ซึ่งมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตและการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน จนกลายมาเป็นการสร้างทฤษฎีขึ้นจากความเชื่อและจินตนาการของตนเอง ต่อมา ในยุคของพระเวทพัฒนาการเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาที่มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจากแนวคิดเดิมที่มีเพียงเทพเจ้าเกี่ยวกับดิน น้ำ ลม ไฟ ความร้อน ความสว่าง เป็นต้น มีการพัฒนาไปสู่แนวความคิดที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จนพัฒนาไปสู่การแบ่งชั้นของการดำรงอยู่ของเทพประจำโลก อากาศ สวรรค์ และมีพัฒนาการไปสู่แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างโลกและจักรวาลตามที่ปรากฏในคัมภีร์ปุราณะ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่แสดงให้เห็นถึงแนวความคิดและทฤษฎีที่ว่าด้วย “จักรวาล” ไว้อย่างชัดเจน โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิศาสตร์และข้อมูลความเป็นไปของจักรวาลทั้งหมดไว้อย่างสมบูรณ์
“คัมภีร์ปุราณะ” เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งของศาสนาฮินดู นับได้ว่า มีความสำคัญเทียบเท่ากับคัมภีร์พระเวท จึงเรียกว่า “เวทที่ ๕” คัมภีร์ปุราณะเป็นเรื่องราวที่มีมาแต่โบราณกาล ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าแต่งขึ้นครั้งแรกเมื่อใดและมีจำนวนเท่าใด แต่มีการพบร่องรอยว่า เกิดขึ้นก่อนสมัยพระเวท เชื่อว่า เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณหนึ่งพันปีก่อนคริสตกาล
คัมภีร์ปุราณะจะต้องประกอบด้วย “ปัญจลักษณะ” คือ คุณสมบัติ 5 ประการ ดังต่อไปนี้
- สรฺค เรื่องการสร้างโลก
- ปฺรติสรฺค เรื่องการสร้างโลกขึ้นใหม่ หลังจากโลกถูกทำลายสิ้นแล้ว
- มนฺวนฺตร เรื่องสมัยของพระมนุ มนุษย์คนแรกของโลก
- วํศานุจริต เรื่องประวัติสุริยวงศ์ และจันทรวงศ์ของอินเดีย
คัมภีร์ปุราณะมีเนื้อหาสาระสำคัญที่เกี่ยวกับประเทศอินเดีย ทั้งในด้านสังคม วัฒนธรรม ศาสนา และการเมือง เป็นวรรณกรรมที่แสดงให้เห็นรูปแบบวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนอินเดีย ซึ่งได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนถึงการกำหนดรูปแบบของสังคม การเงิน ภูมิศาสตร์ การเมือง ปรัชญา ศาสนา และระบบการศึกษา
คัมภีร์ปุราณะเป็นคัมภีร์ที่ชี้ให้เห็นถึงความคิดและทฤษฎีที่ว่าด้วย “จักรวาล” อย่างเด่นชันมากที่สุด ในกระบวนทัศน์ที่เกี่ยวกับจักรวาล ซึ่งมีปรากฏอยู่ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู[2] คัมภีร์ปุราณะที่เชื่อว่า มีความสำคัญที่สุดมีด้วยกัน 18 เล่ม เรียกว่า “มหาปุราณะ” โดยจักรวาลวิทยาที่กล่าวไว้ใน “มหาปุราณะ” นั้นอาจจะสรุปลักษณะสัณฐานของจักรวาลได้โดยย่อ คือ จักรวาลจะประกอบไปด้วยสรรค์ที่อยู่เหนือโลกขึ้นไปในอากาศ ส่วนโลกมนุษย์จะประอบไปด้วยทวีป 7 ทวีป แต่ละทวีปถูกแยกออกจากกันด้วยมหาสมุทร มีชมพูทวีปเป็นทวีปที่อยู่ตรงกลางมีเขาเมรุตั้งอยู่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล บนยอดเขาเมรุเป็นที่ตั้งของนครเทพต่าง ๆ บริเวณเชิงเขาเมรุจะมีภูเขาค้ำยันอยู่ที่ทิศทั้ง 4 ถัดจากนั้นจะมีทิวเขาซึ่งเป็นที่ประทับของบรรดาเทพชั้นรองอยู่อีกทั้ง 4 ทิศ และถัดออกมารอบนอกสุดของทิวเขาทางทิศเหนือเป็นที่ตั้งของเมืออุตตรกุรุ ทิศใต้เป็นที่ตั้งของเมืองภารตะ ทิศตะวันออกเป็นที่ตั้งของเมืองภัทราศวะ และทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งของเมืองเกตุมาละ ส่วนโลกบาดาลจะอยู่ถัดจากพื้นแผ่นดินลงไปเบื้องล่าง ซึ่งเป็นที่อยู่ของอสูร ยักษ์ นาค นอกจากนั้น ยังมีนรกเป็นดินแดนแห่งการลงทัณฑ์คนบาป ซึ่งจะตั้งอยู่ใต้พื้นแผ่นดิน พระยมเป็นผู้ควบคุมนรก พื้นที่ขอบเขตทั้งหมดของจักรวาลจะถูกห้อมล้อมไว้ด้วยภูเขา ซึ่งจะช่วยปิดกั้นความมืดด้านนอกไว้ และมีเปลือกไข่ทองคำหุ้มส่วนประกอบทั้งหมด ความพินาศของจักรวาลจะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดยุคสุดท้ายของแต่ละกัลป์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยควาทุกข์ยากและความเสื่อมทราม จักรวาลจึงเกิดการประลัยด้วยเหตุอันเกิดขึ้นจากลม น้ำ และไฟ
คำว่า “ปุราณะ” ปรากฏในมหาภารตะ หมายถึง นิทานเก่าแก่ ซึ่งมีลักษณะเป็นคำสอนและเรื่องเล่าเกี่ยวกับทวยเทพและเหล่าฤษี คัมภีร์อุปนิษัท กล่าวว่า ปุราณะ เป็นอิติหาสะและถือเป็นพระเวทที่ 5 คัมภีร์สมฤติกล่าวว่า ปุราณะเป็นคำอธิบายของพระเวท ปาณินิ นักไวยากรณ์สันสกฤตชาวอินเดีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ประมาณ 700 – 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช ได้ใช้คำว่า “ปุราณะ” ในหนังสือ “อษฺฏาธฺยายี” ในความหมายว่า “เก่าแก่และโบราณ”[3] พจนานุกรมอมรโกศ หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า นามลิงคานุศาสนมฺของอมรสิงห ได้กล่าวถึงคำว่า “ปุราณะ” ว่า คือ สิ่งซึ่งมีลักษณะ 5 ประการ ได้แก่ อภิปรัชญา นิติศาสตร์ ตรรกวิทยา อรรถศาสตร์ และตำนานสั้น ๆ ซึ่งหลักสัจนิยม ดังความว่า
อานฺวีกฺษิกี, ทณฺฑนีติสฺม, ตรฺกวิทฺยา’รฺถศาสฺตฺรโยะ
อาขฺยายิโกปลพฺธารฺถา ปุราณํ ปญฺจ-ลกฺษณมฺ[4]
ปุราณะอาจกล่าวได้ว่า มีความเก่าแก่ย้อนหลังไปถึงวรรณกรรมสมัยพระเวท เพราะนิทานจำนวนมากซึ่งมีอยู่ในบทสวดของคัมภีร์ฤคเวท และคัมภีร์พราหมณ์ต่าง ๆ ได้ถูกนำมาเล่าไว้ใน “คัมภีร์ปุราณะ”
คัมภีร์ปุราณะที่สำคัญมีทั้งหมด 18 ปุราณะ เรียกว่า “มหาปุราณ” สามารถจำแนกโดยกำหนดตาม “คุณ” 3 ประการ คือ รชสฺ สตฺตฺว และตมสฺ ของพระผู้เป็นเจ้าแห่งตริมูรติ ได้ดังนี้
- ราชสปุราณ ซึ่งมาจากรซัสของพระพรหมา คือ ปราณะที่เกี่ยวข้องกับพระพรหม ได้แก่ พฺรพฺมปุราณ พฺรหฺมาณฺฑปุราณ พฺรพฺมไววรฺตปุราณ มารฺกณฺเฑยปุราณ ภวิษฺยปุราณ และวามนปุราณ
- สาตฺตฺวิกปุราณ ซึ่งมาจากสัตตวะของพระวิษณุ คือ ปุราณะที่ยกย่องพระวิษณุ บางทีเรยกว่า ไวษฺณวิปราณ ได้แก่ วิษฺณุปุราณ ภาควตปุราณ นารทียปุราณ ครุฑปุราณ ปทุมปุราณ และวราหปุราณ
- ตามสปุราณ ซึ่งมาจากตมัสของพระศิวะ คือ ปุราณะที่สรรเสริญพระศิวะ ได้แก่ ศิวปุราณ ลิงฺคปุราณ สฺกนฺทปุราณ อคฺนิปุราณ มตฺสฺยปุราณ และกูรฺมปุราณ[5]
คัมภีร์ปุราณะจัดเป็นเพียงส่วนเพิ่มเติมของคัมภีร์พระเวท โดยมีจุดประสงค์เพื่อสั่งสอนบรรดาผู้หญิงและพวกศูทร ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนพระเวท[6] ปุราณะมีฐานเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในระดับชั้นที่ 2 เพราะแต่เดิมปุราณะมิใช่วรรณคดีของพระ ต่อมาภายหลังจึงตกมาอยู่ในมือของเหล่าพระชั้นรองซึ่งไม่ใช่พระผู้รู้พระเวท พระเหล่านี้จึงใช้ปุราณะเพื่อสดุดีเทพเจ้าต่าง ๆ ที่ตนบูชา แม้ในปัจจุบันชาวฮินดูต่างก็ยังนับถือคัมภีร์ปุราณะว่า เป็น “คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์” ชาวฮินดูถือว่า “คัมภีร์ปุราณะ” เป็นคัมภีร์เก่าแก่มาก เชื่อว่า เป็นผลงานของฤษีวยาสะ ซึ่งเป็นผู้รวบรวมคัมภีร์พระเวทและเป็นผู้แต่งมหากาพย์มหาภารตะ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งปรัชญาเวทนตะด้วย
คัมภีร์วายุปุราณะ ได้กล่าวถึง ความสำคัญของคัมภีร์ปุราณะไว้ว่า “พราหมณ์ซึ่งอาจจะรู้พระเวททั้ง 4 พร้อมทั้งเวทางคและอุปนิษัท แต่ถ้าไม่รู้ปุราณ ก็อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับว่า เป็นพราหมณ์ที่เก่ง บุคคลควรทำให้ความรู้ในพระเวทมีความมั่นคงโดยอาศัยคัมภีร์อิติหาสะและปุราณะ พระเวทกลัวคนที่มีความรู้น้อย เพราะคิดว่า คน ๆ นั้นจะทำร้ายให้ตนเจ็บปวด[7] ดังข้อความที่ว่า
โย วิทฺยาจฺ จตุโร เวทานฺ สางฺโคปนิษโท ทฺวิชะ |
น เจตฺ ปุราณ ส วิทฺยานฺ ไนว ส สฺยาทฺ วิจกฺษณะ|
อิติหาสปุราณาภฺยามฺ เวท สมุปวฺฤหเยตฺ |
พิเภตฺยลฺปศฺรุตาทฺ เวโท มามยํ ปฺรหริษฺยติ|
คัมภีร์ปุราณะนั้นมีลักษณะเป็นสารานุกรมของเรื่องต่าง ๆ เป็นวรรณกรรมที่รวบรวมข้อมูลที่จะให้ความกระจ่างทุกแง่มุมเกี่ยวกับศาสนาฮินดู มีเนื้อหาอธิบายประวัติความเป็นมาของจักรวาลตั้งแต่อดีตอันยาวนาน และแสดงความจริงทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ และศาสนศาสตร์ ปุราณะให้ความรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์กายภาพ ภูมิศาสตร์ ลักษณะรูปร่างของโลก ดาราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ พงศาวดาร และบางปุราณะมีเนื้อหากล่าวถึงเรื่องกายวิภาคศาสตร์ การแพทย์ ไวยากรณ์และการใช้อาวุธสงครามต่าง ๆ ด้วย[8]
ที่มา สุภาพร พลายเล็ก. (2557). การศึกษาเปรียบเทียบเรื่องจักรวาลวิทยาในคัมภีร์วิษณุปุราณะและไตรภูมิพระร่วง. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.
[1] วิไลรัตน์ ยังรอด. (2540). การศึกษาภาพภูมิจักรวาลจากภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นในเขตกรุงเทพมหานคร. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร).
[2] พระมหาหรรษา นิธิบุณยากร. (2550). พุทธจักรวาลวิทยา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
[3] Rajendra Chandra Hazra, “The Purāṇa and The Upapurāṇas” in the Cultural Heritage of India (Delhi: The Rarnakrisna Massion and Institute of Calcutta, 1969), 241.
[4] N. G. Sardesai and D. G. Padhye, Amara’s Nāmaliṅgānuśāsanam (Poona: Padhye Year of Publishing, 1940), 17.
[5] Monier Monier Williams, Indian Wisdom, 2nd ed. (London: Wm. H. ALLEN, 1875), 494 – 495.
[6] Monier Monier Williams, Indian Wisdom, 489
[7] จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา, “ปุราณะ,” นิตยสารไทย – ภารต 17, 25 ( มิถุนายน 2532 ): 80.
[8] Maurice Winternitz, History of Indian Literature, 490.