โดยพระไตรปิฎกและอรรถกถาได้กล่าวถึง “บุญ” โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- บุญส่วนที่เหตุ หมายถึง บุญในฐานะที่เป็นการกระทำ เรียกว่า “การทำบุญ” ได้แก่ การกระทำทีดี่เป็นกุศลเจตนา
- บุญส่วนที่เป็นผล หมายถึง บุญในฐานะที่เป็นผลจากการกระทำ เรียกว่า “ผลหรืออานิสงส์ของบุญ” ได้แก่ ความสุข
บุญทั้ง 2 ส่วนข้างต้นตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎกในพระไตรปิฎกและอรรถกถามีรายละเอียดดังต่อไปนี้
พระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ได้กล่าวถึง แนวคิดเรื่อง “บุญ” ในฐานะที่เป็นการกระทำ ซึ่งหมายถึง การทำความดี อันได้แก่ การกระทำตามบุญกิริยาวัตถุ ประกอบด้วย ทาน ศีล และภาวนา ดังปรากฏข้อความในพระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปุญญกิริยาวัตถุสูตร ความว่า
ภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ 3 ประการนี้ บุญกิริยาวัตถุ 3 ประการ อะไรบ้าง คือ 1. บุญกิริยา วัตถุที่สำเร็จด้วยทาน 2. บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีล 3. บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนา (อง.นวก. 23/36/294)
นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อความในพระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ปุญญกิริยาวัตถุสูตร ความว่า แท้จริง พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว พระสูตรนี้ พระอรหันต์ กล่าวไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
“ภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ 3 ประการนี้
บุญกิริยาวัตถุ 3 ประการ อะไรบ้าง คือ
- บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทาน
- บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีล
- บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนา
ภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ 3 ประการนี้แล”
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความดังกล่าวมานี้แล้ว ในพระสูตรนั้น จึงตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า ผู้หวังประโยชน์สุข ควรฝึกฝนบำเพ็ญบุญนี้เท่านั้นที่ให้ผลเลิศติดต่อกันไป (ชุ.อิติ. 25/60/415)
นอกจากการกล่าวถึง “บุญ” ที่หมายถึง การทำความดี ในทางพระพุทธศาสนายังได้กล่าวถึง แนวคิดเกี่ยวกับ “บุญ” ว่า บุญ คือ เครื่องชำระสันดาน โดยโอวาทปาติโมกข์ (ที.ม. 10/54/57 และ ขุ.ธ. 25/24/39) ซึ่งเป็นประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงหลักสำคัญทางพระพุทธศาสนา 3 ประการ ได้แก่ ทำแต่ความดี ไม่ทำชั่วทั้งปวง และทำใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ทั้งนี้ หลักคำสอนสำคัญ 3 ประการ ดังกล่าวสัมพันธ์กับบุญกิริยาวัตถุ 3 ซึ่งเป็นทางแห่งการทำความดี เป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ ช่วยชำระล้างใจให้สะอาดบริสุทธิ์ โดยบุญกิริยาวัตถุ 3 ประกอบด้วย ทานมัยบุญกิริยาวัตถุ เป็นการทำบุญด้วยการให้ ตรงกับ “ทำแต่ความดี” ศีลมัยบุญกิริยาวัตถุ เป็นการทำบุญด้วยการรักษาศีล ควบคุมความประพฤติให้เป็นปกติ งดเว้นจากการเบียดเบียนกันและกันให้เดือดร้อน ตรงกับ “ไม่ทำชั่วทั้งปวง” และภาวนามัยบุญกิริยาวัตถุ เป็นการทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือ ฝึกอบรมจิตใจให้เจริญปัญญา ตรงกับ “ทำใจให้สะอาดบริสุทธิ์” การทำบุญทั้ง 3 วิธีดังกล่าวนี้ จะชำระล้างอกุศลมูล อันได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะ ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายหรือบาป
อนึ่ง อรรถกถาทีฆนิกาย (ที.อ. 3/246) และอภิธัมมัตถสังคหะ (สังคหะ 29) ได้ขยายบุญกิริยาวัตถุ 3 ออกเป็นบุญกิริยาวัตถุ 10 เพื่อให้เข้าใจหลักการทำบุญในพระพุทธศาสนาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยบุญกิริยาวัตถุ 10 ประกอบด้วย
- ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
- สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล
- ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา
- อปจายนมัย บุญเกิดจากการประพฤติอ่อนน้อม
- เวยยาวัจจมัย บุญเกิดจากการขวนขวายรับใช้
- ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการขวนขวายรับใช้
- ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากความยินดีในความดีของผู้อื่น
- ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรมศึกษาหาความรู้
- ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการสั่งสอนธรรมให้ความรู้
- ทิฏฐุชุกัมม์ บุญเกิดจากการทำความเห็นให้ตรง
อย่างไรก็ตาม อปจายนมัยและเวยยาวัจจมัย สามารถจัดเข้าในสีลมัย ปัตติทานมัยและปัตตานุโมทนามัย สามารถจัดเข้าในทานมัย ธัมมัสสวนมัย และธัมมเทสนามัย สามารถจัดเข้าในภาวนามัย ส่วนทิฏฐุชุกัมม์ สามารถจัดเข้าได้ทั้งทานมัย สีลมัย และภาวนามัย ในบุญกิริยาวัตถุ 3 (พระพรหมคุณาภรณ์, 2556)
นอกจากนี้ จากการศึกษาแนวคิดเรื่อง “บุญ” ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาในงานวิจัยเรื่อง “บุญ: ความสัมพันธ์ระหว่างภาษาอังกฤษกับอุดมการณ์ในวาทกรรมที่ผลิตโดยวัดธรรมกาย” ของสุนทรี โชติดิลก (2560) แสดงให้เห็นว่า ในพระไตรปิฎกและอรรถกถากล่าวถึง “บุญ” ว่าหมายถึง “เครื่องชำระสันดาน” โดยในพระไตรปิฎกแสดงให้เห็นว่า การทำบุญนั้นเป็นการขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ ดังนี้
กุศลทั้งหลายที่ให้เกิดผลในภพ ที่ควรบูชา หรือชำระสันดานของตน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุญ (พระสุตตันปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่มที่ 1: 387)
ในอรรถกถา ส่วนอรรถกถาปุญญสูตร ก็มีการกล่าวถึงการทำบุญว่า เป็นการชำระสันดาน คือ ชำระจิตใจผู้ปฏิบัติ เป็นการขัดเกลากิเลส ดังต่อไปนี้
ปญญเมว โส สิกเขยย ความว่า กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์พึงศึกษา พึงดำรงมั่น พึงเสพธรรมเป็นกุศล 3 อย่าง อันได้ชื่อว่า บุญ เพราะให้เกิดผลน่าบูชา และเพราะชำระสันดานของตน (อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตก เอกนิบาต ตติยวรรค ปุญญสูตร)
การกำจัดกิเลสด้วยสมาทานอันใด อันนั้นเป็นบุญสำเร็จด้วยภาวนา ก็บุญนั้นแลเป็นเมตตาพรหมวิหารท่านประสงค์ในที่นี้ ในอุปจารและอัปปนาทั้งสองอย่างนั้น บุญใดถึงอัปปนาความเกิดขึ้นในภูมิฌาณสองตามที่กล่าวแล้วมีได้ด้วยบุญนั้น (อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตก เอกนิบาต ตติยวรรค ปุญญสูตร)
จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า บุญส่วนที่เป็นเหตุในฐานะที่เป็นการกระทำตามหลักพุทธศาสนานั้น หมายถึง การทำความดี อันได้แก่ การกระทำตามบุญกิริยาวัตถุ ประกอบด้วย ทาน ศีล และภาวนา รวมถึงเป็นเครื่องชำระสันดาน ขัดเกลากิเลส คือ ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ทั้งนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (ม.ป.ป.: 9 – 20) กล่าวถึงบุญจากการกระทำตามบุญ กิริยาวัตถุ อันได้แก่ ทาน ศีล และภาวนา ซึ่งมีระดับที่แตกต่างกันดังนี้
ทาน คือ การให้ การให้ทานนั้นแสดงว่า เป็นการชนะใจ คือ ชนะความโลภ ความตระหนี่ เพื่อชำระกิเลส คือ โลภะออกจากใจ
ในทางพระพุทธศาสนาได้มีการกล่าวถึงทานในฐานะคุณธรรมประการที่หนึ่งในทศบารมี หรือบารมี 10 ประการของพระโพธิสัตว์เพื่อมุ่งพระโพธิญาณ ทั้งนี้ ทานนั้นมี 2 ประเภท คือ ทานที่เป็นกรรมกับทานที่เป็นบารมี โดยทานที่ทำคราวหนึ่ง ๆ เป็นทานที่เป็นกรรม เพราะเป็นกิจการที่ทำ ทานที่เป็นกรรมกับทานที่เป็นบารมี โดยทานที่ทำคราวหนึ่ง ๆ เป็นทานที่เป็นกรรม เพราะเป็นกิจการที่ทำ ทานที่เป็นกรรมนี้จะเก็บสั่งสมเป็นสันดานแห่งทานในจิตจนกลายเป็นทานบารมี ซึ่งทานบารมีนี้มีแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่
- ทานบารมี ได้แก่ ทานที่บำเพ็ญด้วยการสละทรัพย์
- ทานอุปบารมี ได้แก่ ทานที่บำเพ็ญด้วยการสละอวัยวะ
- ทานปรมัตถบารมี ได้แก่ ทานที่บำเพ็ญด้วยการสละชีวิต
อนึ่ง ทานที่เป็นการให้ที่เป็นการทำบุญที่ทำได้ง่ายนั้น ได้แก่ ทานในระดับต้นที่เป็นการสละทรัพย์หรือสิ่งของให้แก่ผู้อื่น โดยการให้หรือการแบ่งปันเป็นเครื่องชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ในระดับหนึ่ง คือ ชำระล้างหรือกำจัดกิเลส โดยเฉพาะความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความมีใจคับแคบ ตระหนี่ และความเป็นทาสของวัตถุ พร้อมทั้งทอนกำลังของความยึดติดถือมั่นใจตัวตนให้เบาบางลดน้อยลง ทำให้ใจเปิดกว้างและเป็นอิสระมากขึ้น จึงเป็นการเตรียมจิตใจให้พร้อมที่จะเพิ่มพูนคุณความดีและการทำบุญอื่น ๆ ที่สูงขึ้นไป ทั้งนี้ ทานถือเป็นเครื่องเกื้อหนุนสังคม โดยเฉพาะทานที่เป็นวัตถุที่ทำให้คนเป็นอยู่โดยไม่ต้องเบียดเบียนแย่งชิงกัน ทานจึงถือเป็นเครื่องสนับสนุน “ศีล” และช่วยให้ก้าวต่อไปใน “ภาวนา”
“ศีล” แปลว่า ปกติ หมายถึง ปกติกาย ปกติวาจา ปกติใจ มีความหมายกว้าง ๆ ว่าความประพฤติงดเว้นจากการเบียดเบียนกันและกันให้เดือดร้อน เป็นความดีที่สูงกว่าทานขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพราะเป็นเครื่องชำระล้างโทสะหรือความคิดประทุษร้าย
ภาวนา แปลตามศัพท์ว่า การทำให้มีขึ้น ให้เป็นขึ้น หมายถึง การปฏิบัติให้บังเกิดผลได้อย่างจริงจัง ในที่นี้ คือ การอบรมจิตใจให้ตั้งมั่น จัดเป็นจิตตสิกขา หรือสมาธิ 1 อบรมความรู้ความเห็นที่ถูกที่ชอบให้มีขึ้น จัดเป็นปัญญาสิกขา 1 รวมความแล้วอบรมใจให้บริสุทธิ์สะอาดให้สว่างไสวด้วยสมาธิและปัญญา เรียกว่า เป็น “บุญ” คือ ความดี ที่สูงกว่าศีลขึ้นมา เพราะเป็นเครื่องชำระล้างโมหะ คือ ความหลงไม่รู้จริงให้หมดไป