พระตรีมุรติเทพ (1)

“ตรีมูรติ” “พระตรีมูรติเทพ” เป็นเทพเจ้าที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ประกอบด้วย ๓ องค์ พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์ ที่รวมเรียกว่า “ตรีมูรติ”

“พระพรหม” เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่ง

“พระพรหม” เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้สร้างมนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดู ลักษณะที่สำคัญของพระพรหม คือ มีสี่พักตร์ หรือสี่หน้า คติความเชื่อว่า พระพรหมมีสี่หน้าเป็นที่รับรู้ และเข้าใจกันโดยทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย ดังเห็นได้จาก ประติมากรรมรูปเคารพของพระองค์ในยุคสมัยต่าง ๆ แต่ละพักตร์หมายถึง พระเวททั้งสี่ ยุคทั้งสี่ และวรรณะทั้งสี่ พระพรหมมีพญาหงศ์ เป็นพาหนะ

พระพรหมมีพระชายาชื่อ พระสรัสวดี ซึ่งเป็น เทพีแห่งวาจาและการศึกษาเล่าเรียน เป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะวิทยาทั้งปวง พระพรหมสถิตอยู่ ณ พรหมปุระในพรหมโลกบนยอดเขาพระสุเมรุล้อมรอบด้วยแม่น้ำคงคา

“พระศิวะ” เทพเจ้าผู้สร้างและทำลาย เทพแห่งการร่ายรำ

พระศิวะ เป็นเทพเจ้าผู้สร้างและทำลาย เทพแห่งการร่ายรำ มีหลายชื่อ เช่น อิศวร รุทระ และนาฏราช เป็นต้น พระศิวะประทับอยู่ที่ภูเขาไกรลาส มีโคนันทีเป็นพาหนะ และมีศิวลึงค์เป็นเครื่องหมายของพลังแห่งการสร้างสรรค์ พระศิวะสถิตอยู่ ณ เขาไกรลาสมีโคนันที

ลักษณะของพระศิวะเป็นรูปฤาษี มี ๔ กร นุ่งห่มหนังสัตว์ ประทับนั่งบนหนังเสือโคร่ง ถืออาวุธตรีศูล ธนู และคทาหัวกะโหลกมนุษย์ ห้อยพระศอด้วยประคำร้อยด้วยกะโหลก มีงูเป็นสังวาล พระศอมีสีดำสนิท กลางพระนลาฏมีพระเนตรดวงที่ ๓ ถ้าพระศิวะลืมพระเนตรดวงที่ ๓ เมื่อใด ไฟจะไหม้โลกเมื่อนั้น เหนือพระเนตรดวงที่ ๓ มีรูปพระจันทร์ครึ่งซีก พระศิวะมีพระชายาชื่อว่า “อุมา” ซึ่งมีหลายลักษณะและมีหลายชื่อเรียก เช่น “ปารวตีเทวี” ผู้เป็นธิดาแห่งหิมวัต (หิมาลัย) ทุรคาเทวีผู้เป็นเจ้าแม่สงคราม และกาลีเทวีผู้มีกายสีดำ เป็นต้น

ที่มาของงูพิษที่พระศิวะทรงคล้องคอไว้ประดับองค์ เป็นเอกลักษณ์พิเศษนั้น มีผู้ส่งมาให้พระองค์โดยเฉพาะ คนผู้นั้นก็คือ นักบวช นักบวชผู้นี้มีภรรยาหลายคน แต่บรรดาภรรยาของเขาเกิดมาหลงใหลในเสน่ห์อันล้ำลึกขององค์พระศิวะ ด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นักบวชจึงส่งเสือร้ายตัวโตไปจัดการสังหารพระศิวะ แต่ว่าพระศิวะกลับเป็นฝ่ายพิชิตเสือด้วยพระหัตถ์ของพระองค์อย่างสบาย ๆ แถมยังฉีกเอาหนังเสือมาเป็นที่ปูพื้นไว้รองนั่งอีกด้วย เมื่อส่งเสือมาไม่ได้ผล นักบวชผู้เคียดแค้นริษยาก็ส่งอสรพิษร้ายตัวใหญ่มาจัดการพระศิวะ แต่อสรพิษร้ายกับถูกพระศิวะร่ายเวทมนต์สยบเอาไว้ได้โดยดี แล้วพระองค์ก็จับเอางูพิษนั้นมาคล้องคอเป็นเครื่องประดับ

“พระวิษณุ” “พระนารายณ์” เทพผู้รักษาและคุ้มครองโลกให้เป็นสุข

พระนารายณ์ (พระวิษณุ) เป็นเทพเจ้าผู้รักษาและคุ้มครองโลกให้เป็นสุข สัญลักษณ์แห่งการรักษาความดี และต่อสู้อธรรม เทพแห่งจักรวาล รักษาโรค อวตารปราบอธรรม พระนารายณ์เป็นเทพเจ้าที่มีพลังทางทำนุบำรุงโลก เมื่อเวลาใดโลกเกิดยุคเข็ญ เมื่อเวลานั้น พระนารายณ์จะเสด็จไปช่วยบำบัดทุกข์ ปราบยุคเข็ญ เรียกว่า “อวตาร” พระวิษณุ สถิต ณ สถานที่ ๒ แห่ง คือ สวรรค์ไวกูณฐ์ และทะเล (เกษียรสมุทร) บนหลังอนันตนาคราช (เรียกว่า นารายบรรทมสินธุ์)

พระนารายณ์ประทับอยู่ในเกษียรสมุทร มีพระยาอนันตราชเป็นบัลลังก์ ทรงพญาครุฑเป็นพาหนะ มีพระชายาชื่อ “ลักษมี” ผู้เป็นเทพีแห่งความงาม ผู้อำนวยโชคลาภ ความมั่งคั่ง และผู้มีใจเมตตาปรานี เมื่อพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นวามนาม ปรศุราม และพระรามชายาลักษมีก็เสด็จลงมาเป็นนางปทุมาหรือกมลา นางธรณี และนางสีดา ตามลำดับ

พระนารายณ์จะอวตารลงมาจากสวรรค์และเกิดเป็นสัตว์หรือมนุษย์ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือโลกเรียกว่า “นารายณ์อวตาร” จำนวน ๑๐ ปาง “อวตาร” หมายถึง การแบ่งภาคลงมาเกิดของเทพเจ้า ซึ่งคัมภีร์ปุราณะ และอุปปุราณะ ได้กล่าวถึง อวตารของพระวิษณุ

นับแต่โลกเริ่มอุบัติมาจนถึงปัจจุบัน พระนารายณ์ได้อวตารมาแล้วถึง ๙ ปาง ปางที่ ๙ คือ ปางอวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า อวตารของพระนายรายณ์จะมีทั้งหมด ๑๐ ปาง ปางที่ ๑๐ จะเกิดขึ้นหลังสิ้นสุดกลียุค (คือ ยุคปัจจุบัน) พระวิษณุจะเสด็จลงมาบนหลังม้าขาว พระหัตถ์ถือพระแสงดาบมีประกายดุจดาวหางลงมาปราบความชั่วร้ายในโลก แล้วสร้างโลกที่บริสุทธิ์ขึ้นใหม่

มัตสยาวตารลงมาเกิดเป็น “ปลา” เพื่อปราบยักษ์ชื่อ “หยครีวะ” ซึ่งทำให้มนุษย์หลงผิดจนเกิดน้ำท่วมโลก
กูรมาวตารลงมาเกิดเป็น “เต่า” ในทะเลน้ำนม (เกษียรสาคร) ให้หลังของเต่ารองรับภูเขา “มันทาระ” และเทวดาก็ใช้ลำตัวพญานาคเอามาต่อกันทำเป็นเชือกมาผูกภูเขาเพื่อให้เป็นสายโยง ไว้ดึงภูเขาให้เคลื่อนไหว เพื่อจะกวนน้ำในมหาสมุทรจนกลายเป็นน้ำอมฤต
วราหาวตารลงมาเกิดเป็น “หมูป่า” เพื่อจะปราบยักษ์ ชื่อว่า “หิรัณยากษะ” ผู้จับโลกกดให้จมน้ำทะเล โดยใช้เขี้ยวหมูป่าดุนให้โลกพ้นน้ำ สัตว์โลกและมนุษย์จึงได้เกิดมา
นรสิงหาวตารลงมาเกิดเป็น “สัตว์ครึ่งคนครึ่งสิงห์” เพื่อปราบยักษ์ที่ชื่อว่า “หิรัณยกศิปุ” เป็นผู้ที่ได้พรจากพระพรหมว่า จะไม่มีใครฆ่าให้ตายได้ หิรัณยกศิปุจึงก่อความเดือนร้อนทั่ว ๓ โลก
วามนาวตารลงมาเกิดเป็น “คนค่อมผู้มีฤทธิ์” เพื่อปราบยักษ์ชื่อ พลิ มิให้มีอำนาจครองโลกทั้งสาม และได้ไล่ยักษ์พลให้ไปอยู่ใต้บาดาล
ปรศุรามาวตารลงมาเกิดเป็น “รามผู้ซึ่งมีขวานเป็นสัญลักษณ์” และเป็นบุตรของพราหมณ์ รามพยายามป้องกันไม่ให้กษัตริย์มีอำนาจเหนือวรรณะพราหมณ์ โดยได้ชำระโลกถึง ๒๑ ครั้ง เพื่อทำลายกษัตริย์
รามาวตารลงมาเกิดเป็น “พระราม” (รามจันทร์) ในมหากาพย์รามายณะ เพื่อปราบท้าวราพณ์หรือทศกัณฐ์
กฤษณาวตารลงมาเกิดเป็น “พระกฤษณะ” ผู้มีผิวกายดำ เป็นสารถีขับรถศึกให้อรชุนเพื่อปราบคนชั่วในมหากาพย์มหาภารตะ
พุทธาวตารลงมาเกิดเป็น “พระพุทธเจ้า” ประกาศหลักธรรมช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์ ซึ่งเป็นการปฏิรูปคำสอนของศาสนาพราหมณ์ เหตุผลที่ศาสนาฮินดูดึงเอาพระพุทธเจ้ามาเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนาราย์นั้น นับเป็นการกลืนพระพุทธศาสนาอีกวิธีหนึ่ง
กัลยยาวตาร หรืออัศวาวตารลงมาเกิดเป็นบุ “รุษอาชาไนย” หรืออัศวินผู้ขี่ม้าขาว (กัลกี) ถือดาบอันมีฤทธิ์มีแสงแปลบปลาบดังกาวหาง เพื่อปราบคนชั่วและสถาปนาระบบธรรมะขึ้นใหม่ในโลก[1]

ตามตำนานกล่าวว่า พระนารายณ์ (พระวิษณุ) พระองค์บรรทมหลับอยู่บนหลังพญาอนันตนาคราช ๑๐๐๐ เศียร ณ ท่ามกลางมหาสมุทรหรือเกษียรสมุทร ที่รู้กัน คือ “ทะเลน้ำนม” ในขณะที่บรรทมหลับอยู่นั้น เรียกว่า “นารายณ์บรรทมสินธุ์” มีดอกบัวงอกขึ้นจากพระนาภี (สะดือ) กลางดอกบัวนั้นเป็นที่กำเนิดของพระพรหม ผู้สร้างโลก เมื่อพระพรหมสร้างโลกเสร็จแล้ว พระวิษณุทรงตื่นจากบรรทม และสถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุด

ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เชื่อว่า โลกมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลายไปในที่สุด การบูชาเทพเจ้าทั้ง ๓ องค์เหล่านี้ เป็นลักษณะของบุคลาธิฐาน เป็นการบูชาเพื่อให้รู้แจ้งสภาวธรรม ๒ ประการ นั่นคือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลายไปของโลกนั่นเอง[2]


[1] สุชีพ ปุญญานุภาพ, ประวัติศาสตร์ศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ 10 (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์รวมสาส์น, 2541), หน้า 291-292.

[2] บทที่ ๒ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *