อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า เทพยดา เทวดา ภูตผีปีศาจ

“อิทธิฤทธิ์” คือ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า เทพยดา เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และรวมถึงภูตผีปีศาจด้วย อำนาจนี้สามารถบันดาลให้เกิดสิ่งต่าง ๆ หรือมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น และ “อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์” แปลว่า ความศักดิ์สิทธิ์ที่น่าอัศจรรย์พ้นวิสัยที่สามัญชนจะทำได้ ในทางพระพุทธศาสนามีเรื่องของอิทธิฤทธิ์ และได้กล่าวไว้ใน “อภิญญาจิต” ซึ่งหมายถึง “อำนาจจิตพิเศษ” เช่น การฝึกระลึกชาติก่อนให้ได้ จนมีความแคล่วคล่องว่องไวจริง ๆ ตลอดจนวิธีการแสดงออกของการทำอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ทุก ๆ อย่าง

สำหรับอภิญญาจิต 5 ประเภทนั้น มีดังนี้

  1. อิทธิวิธีอภิญญา คือ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้
  2. ทิพพโสตอภิญญา คือ “หูทิพย์” ได้ยินเหมือนหูเทวดา หรือพรหม
  3. ปรจิตตวิชานนอภิญญา คือ รู้ใจของคนอื่น
  4. ปุพเพนิวาสานุสสติอภิญญา คือ รู้ถึงชาติก่อน
  5. ทิพพจักขุอภิญญา คือ “ตาทิพย์” เหมือนตาของเทวดาหรือพรหม

อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ

อิทธิฤทธิ์ของเทพยดา

เรื่องของเทพยดาหรือเทพเจ้านี้ มักจะเข้ามามีส่วนในการดำเนินเรื่องของวรรณคดีไทยอยู่มาก เทพเจ้าที่ปรากฏเสมอ ๆ คือ พระอินทร์ ซึ่งมีหน้าที่คอยดูแลช่วยเหลือตัวละครเอก เมื่อตัวละครนั้นอยู่ในภาวะคับขัน ได้รับความเดือดร้อน เช่น เรื่องสังข์ทอง เป็นต้น ซึ่ง “เทพยดา” หรือ “เทวดา” หมายถึง พวกชาวสวรรค์ที่มีตาทิพย์ หูทิพย์ และกินอาหารทิพย์ และเทพยดา เทวดา หรือเทพเจ้าจะมีจริงหรือไม่นั้น “คนอย่างเราท่านที่ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง อยู่ในจิตใจ คงไม่อาจพิสูจน์ได้ นอกเสียจากผู้ปฏิบัติธรรมจนถึงขั้น “อุคหนิมิต” ซึ่ง “อุคหนิมิต” คือ วิธีที่ผู้เพ่งกสิณใช้จนชำนาญ จนรูปที่เพ่งนั้นติดตา แม้หลับตารูปที่ใช้เพ่งนั้นก็ยังปรากฏอยู่ รูปที่ปรากฏเช่นนี้ เรียกว่า “อุคหนิมิต” นั่นเอง

สำหรับคนไทยโดยส่วนใหญ่ แม้จะนับถือศาสนาพุทธ ก็ยังมีความเชื่อเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ที่เรียกว่า “ตรีมูรติ” ซึ่งได้แก่ พระพรหม พระวิษณุ (พระนารายณ์) และพระศิวะ (พระอิศวร) และยังเชื่อว่า มีเทพหรือเทวดาประจำสิ่งต่าง ๆ เช่น เทพารักษ์ประจำต้นไม้ ป่าเขา เทพประจำแม่น้ำ คือ แม่พระคงคา เทพประจำแผ่นดิน คือ แม่พระธรณี เป็นต้น ดังนั้น ความเชื่อเทพเจ้า เทพยดา เทวดา สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จึงมีปรากฏเล่าขานกันอยู่บ่อย ๆ

เทพยดาหรือเทพเจ้าแสดงอิทธิฤทธิ์ให้บุคคลอึดอัดเดือดร้อน เป็นทุกข์เพื่อได้แก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกต้องตามที่เทพประสงค์ เช่น พระนารายณ์ หรือพระวิษณุ ได้แสดง อิทธิฤทธิ์เพื่อให้จัดตั้งเทวรูปให้ใหม่ ดังนี้ ทางกระทรงอุตสาหกรรม ซึ่งตั้งขึ้นที่ถนนพระราม 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2494 ได้ถือเอาเทวรูปพระนารายณ์ปางกูรมาวตาร หรือปางนารายเกษียรสมุทร มาเป็นสัญลักษณ์ประจำกระทรวง เพราะเชื่อว่า ขณะที่พระนารายณ์แสดงอิทธิฤทธิ์ประกอบพิธีกวนน้ำอมฤตในเกษียรสมุทร เพื่อทำให้เทพทั้งปวงมีภาวะเป็นอมตะนั้น ได้เกิดผลิตผลอย่างอื่นขั้นมาพร้อมกับอมฤตนี้ด้วย เทวรูปพระนารายณ์จึงเป็นที่นับถือของคนในที่นั้น และในสมัยที่พลเอกกฤษณ์ สีวะรา มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นบนเนื้อที่ด้านหน้าที่ว่างอยู่ ทำให้เทวรูปพระนารายณ์ต้องตั้งอยู่ในสถานที่แออัดขนาบด้วยตึกใหญ่ 2 ตึก ไม่เด่นและไม่สง่าเท่าที่ควร นอกจากนั้น เงาตึกทั้งสองยังทอดมาบังดูแล้วไม่เหมาะสม ทางกระทรวงจึงเจาะทางเข้าตึกให้ใหญ่ที่ขึ้นที่อยู่ด้านหน้าเทวรูป เพื่อให้องค์พระนารายณ์ท่านได้มองเห็นถนนใหญ่ได้ แต่เมื่อนายกร ทัพพะรังสี เข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และมีความนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ของเทวรูปพระนารายณ์ จึงแสดง ความเห็นว่า นับตั้งแต่สร้างตึกหลังใหม่บังเทวรูปไว้ รัฐมนตรีอุตสาหกรรมแต่ละคนที่เข้ามารับตำแหน่งล้วนมีปัญหา ไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าที่ควร จึงอยากให้จัดหาที่ตั้งเทวรูปเสียใหม่ เพราะตัวท่านรัฐมนตรีช่วยฯ นั้น ในขณะที่ให้ความคิดเห็นเรื่องนี้ก็มีความรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก

เทพยดาหรือเทพเจ้า อาจแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อทดสอจิตใจของมนุษย์ พระครูญาณทัสสีที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อคำดี หรือหลวงปูคำดี ปภาโส ซึ่งอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่ อำเภอเมือง จังหวัดเลย เคยได้พบเทวดาประจำถ้ำผาปู่แสดงอิทธิฤทธิ์ ทำให้หินพังทลายลงมาในขณะที่ท่านกำลังเจริญวิปัสสนากรรมฐาน บรรดาญาติโยมที่คอยปรนนิบัติ และร่วมเจริญวิปัสสนาตกใจ คิดว่า ท่านต้องได้รับอันตราย แต่เมื่อเสียงอึกทึกครึกโครมสงบลง จากการสำรวจ พบว่า ก้อนหินน้อยใหญ่ที่ร่วงหล่นลงมาจากเพด้านถ้ำนั้น ไม่ได้เป็น ไม่ได้ทำอันตรายแก่หลวงพ่อเลย เพียงแต่มากองอยู่โดยรอบที่ท่านนั่งเจริญสมาธิเท่านั้น และไม่มีหินก้อนใดไปถูกต้องตัวท่านเลยแม้แต่ก้อนเดียว สร้างความประหลาดใจให้บรรดาญาติโยมและชาวบ้านที่นั่นมาก หลวงพ่อบอกแก่ทุกคนว่า เทพท่านมาทดลองเท่านั้นเอง

เทพยดาหรือเทพเจ้าอาจแสดงอิทธิฤทธิ์ผ่านร่างทรงเพื่อช่วยรักษาโรคหรือขจัดปัดเป่าภัยพิบัติ รวมทั้งทำนายทายทักบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือ การรักษาโรคด้วยจิตวิญญาณ เทพ สรุปได้ว่า โสภณ โสตะระ ซึ่งอมเทียนพ่นไฟ รักษาโรคอยู่ที่สำนักงานอภิธรรมมูลนิธิ วัดโพธิ์ เชื่อว่า ตนเองทำเช่นนี้ได้ เพราะมีเทพมาผ่านร่าง ดังนั้น ผู้พ่นไฟต้องมีศีล ผ่านการ “ครอบ” จากครูบาอาจารย์แล้ว เวลาพ่นจะนำเทียนเหลืองมารวมเป็นมัดขนาดกำมือหนึ่ง แล้วจุดไฟให้ลุกโซนขึ้น เอาใส่ปากอมความร้อนของเปลวไฟ แล้วพ่อเป่าบนร่างของผู้ป่วย คนเห็นอมเทียนอาจจะตกใจและแปลกใจว่า ทำไมปาก ลิ้นจึงไม่พอง โสภณ โสตะระ เชื่อว่า เรื่องอัศจรรย์เช่นเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเทพ พลังของเทพอาจเป็นสิ่งเหลือเชื่อ แต่ก็ช่วยบำบัดโรคร้ายให้มนุษย์ได้

ในตอนที่ 2 กล่าวถึงเรื่องของ อิทธิฤทธิ์ของผู้ทรงฌาน อิทธิฤทธิ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณ และในบทความตอนที่ 3 กล่าวถึงเรื่อง ผี และการแสดงอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณ ในบทความตอนที่ 4 กล่าวถึงเรื่องของ วิญญาณแสดงอิทธิฤทธิ์ปรากฎตัวเพื่อทำร้าย กับเรื่องวิญญาณแสดงอิทธิฤทธิ์ปรากฏตัวเพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *