ความเชื่อที่ว่า การแต่งงานเป็นเรื่องอุดมคติ

ในทางคริสต์ศาสนาที่ได้อธิบายชีวิตภายใต้บทบันทึกในหนังสือปฐมกาลว่า “ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายาของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายาของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ ขึ้นตามแบบพระฉายาของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง” (Sorenson, 2003) โดยสร้างอาดัมก่อนแล้วจึงนำกระดูกซี่โครงจากอาดัมมาสร้างเป็นผู้หญิง และกล่าวถึง การสร้างครอบครัวว่า “เหตุฉะนั้น ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขา และจะไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน” ในหนังสือพันธสัญญาใหม่ได้พูดถึงคำว่า “ผูกพัน” มีความหมายว่า ถูกยึดติดกัน หรือถูกเชื่อมเข้าด้วยกัน โดยลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทุกเรื่องระหว่างสามีและภรรยาด้วย พวกเขาในฐานะเป็นคนสองคนก็กลายเป็นเหมือนคนเดียวกันทั้งในด้านร่างกาย จิตใจและวิญญาณ และยังมีคำอธิบายถึงคำว่า เนื้ออันเดียวกัน ไว้ว่า “เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เหตุฉะนั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย”

อีกข้อความพระคัมภีร์ในหนังสือเอเฟซัสได้อธิบายข้อพระคัมภีร์เรื่องการสมรสว่า “ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตนเหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร”

“ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร” เช่นนั้นแหละ สามีจึงควรจะรักภรรยาของตนเหมือนกับรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร

ดังนั้น ชีวิตจึงจำเป็นต้องมีการสมรสตามแนวพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นการหลอมรวมคนสองคนเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นภาพของความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระคริสต์กับคริสตจักรของพระองค์เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียว

แนวคิดมหายานมองเรื่องความรักว่า เป็นการสร้างความสมบูรณ์ในชีวิต กล่าวคือ เราไม่มีทางเข้าใจตัวเราเองได้สมบูรณ์ และบางทีทุกอย่างกลายเป็นเรื่องลึกลับสำหรับเรา ดังนั้น การที่เราหวังว่า จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนอื่นจึงเป็นเรื่องยาก และถ้าเราต้องอยู่ร่วมกันอีกนาน ก็ควรตั้งทัศนคติที่มุ่งเน้นไปที่ความสนใจในการเรียนรู้เขาและเธอตลอดเวลา

ความเชื่อใจเป็นสิ่งที่สำคัญซึ่งต้องถูกสร้างจากคนสองคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง คือ นิสัยแบบหญิงและชาย โดยคนทั้งสองต้องมีหน้าที่ในบ้านและนอกบ้านอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งสองต้องมีความรับผิดชอบต่อกันและเชื่อใจกัน โดยความเชื่อใจจะกลายเป็นพื้นฐานของชีวิต เช่น ถ้าเราทำผิดก็ต้องขอโทษ และเมื่ออีกคนขอโทษ เราก็ควรให้อภัยและปล่อยให้ความเจ็บใจนั้นผ่านไป อย่าเก็บไว้ และต้องไม่ถือผิดในการกระทำนั้นอีก

ความผูกพันกันต้องสร้างขึ้นด้วยการฝึกปฏิบัติทางจิตใจ และคู่รักที่อยู่ด้วยกันเพื่อฝึกฝนตัวเองในเรื่องจิตใจ เพราะเมื่อเราจะอยู่ด้วยกันต้องพัฒนาคุณค่าทางด้านความดีระหว่างกัน ช่วยเหลือกัน ทำดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย มองคู่ของเราเหมือนอย่างที่พระพุทธฌจ้าทรงมอง แม้บางทีคู่ของเราอาจมีอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ต้องรู้จักอดทนและมองเห็นความดีในตัวเขาเสมอ ที่สำคัญการครองคู่กันนั้น คือ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ควรแต่งงานด้วยเงื่อนไข คือ ต้องการมีเด็ก หรือเพื่อสืบสกุลเท่านั้น และความสัมพันธ์ที่ยาวนานมา จากการที่คนสองคนเรียนรู้และปรับตัวเข้าหากันได้ รู้จักควบคุมอารมณ์ไม่โกรธง่าย จิตใจหนักแน่น ถ้าอีกคนโกรธอีกคนหนึ่งก็ต้องทำหน้าที่คอยระงับยับยั้ง และทุกครั้งควรพูดกันด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ ดังนั้น เมื่อมองให้ลึกลงไปในตัวคุณ และถ้าคุณเห็นว่า คุณมีสิ่งไม่ดี ก็ต้องลองเปลี่ยนแปลงตัวเอง (Chodron, 2008)

มหาตมะ คานธี พิจารณาว่า จุดมุ่งหมายของสังคม คือ ความสงบและความสุข ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อชายและหญิงเข้าใจถึงสถานะและหน้าที่ของตนในสังคม มีข้อเท็จจริงหนึ่งที่ว่าผู้หญิงทุกวันนี้พยายามจะเปรียบเทียบผู้ชายโดยทำตามแบบที่ผู้ชายทำ คานธีถือว่า ผู้ชายนั้นยังไม่พร้อมที่จะอยู่เหนือผู้หญิง เขาถือว่า หน้าที่ในสังคมอุดมคติควรกระจายกันไปไม่ใช่ตามลักษณะวาสนาที่เกิดมา แต่ควรเป็นระหว่างหญิงชาย ผู้หญิงชายที่แท้จริงแล้วมีวิญญาณเดียวกันและเสมอกัน การงานที่ใครคนใดคนหนึ่งได้รับมองหมายไม่ได้ด้อยกว่าการงานของอีกคนหนึ่ง โดยธรรมชาติแล้วผู้ชายมีร่างกายแข็งแรง จึงควรทำงานที่ใช้แรงงาน และต้องดูแลปป้องครอบครัว ผู้หญิงมีความรักก็ควรจะให้มีหน้าที่เป็นแม่และคอยดูแลบ้าน หน้าที่ของทั้งสองคนนั้นสำคัญและจำเป็นเท่า ๆ กัน

เช่นเดียวกับมหาตมะ คานธีที่ถือว่า จุดมุ่งหมายของการแต่งงานก็เหมือนกับจุดมุ่งหมายของชีวิตเรา “การแต่งงาน” หมายถึง การเข้าใจชีวิตทางจิตวิญญาณ ตามที่คานธีกล่าวว่า “อุดมคติในเรื่องจุดมุ่งหมายการแต่งงานเป็นเรื่องของการรวมตัวทางจิตวิญญาณข้ามพ้นเรื่องร่างกายไป ความรักในมนุษย์เกิดขึ้นภายใต้เจตนาที่จะส่งเสริมการข้ามพ้นจากความเป็นก้อนหินไปสู่ความเป็นเทพหรือความรักที่เป็นสากล” เมื่อคนแต่งงานกันจึงก้าวพ้นจากความเป็นทางทางกามารมณ์ ชีวิตการแต่งงานจึงเป็นการฝึกความรักทางจิตวิญญาณ สามีและภริยาจะต้องฝึกฝนมิตรภาพและรูปแบบการใช้ชีวิตร่วมกัน

ฉะนั้น กลุ่มนี้จึงให้เหตุผลเรื่องความรักและการแต่งงานเป็นเรื่องจำเป็นและศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะทำให้คนที่มีความรักกันได้เรียนรู้จักความเสียสละ ช่วยเหลือกัน และพัฒนาตนเองไปสู่การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเข้าใจความจริง แนวคิดกลุ่มนี้จึงถือว่า การอยู่คนเดียวเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับการมีชีวิต แต่เชื่อว่า มนุษย์ควรอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว สร้างสังคมอุดมคติที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *