ความสำเร็จตามกฎแรงดึงดูด ความคิดทรงอานุภาพทำให้เกิด “พลังเนรมิต”

ในโลกยุคปัจจุบันมีทฤษฎีสู่ความสำเร็จหนึ่งเกิดขึ้น และแพร่หลายในโลกตะวันตกชื่อว่า “กฎแรงดึงดูด” กฎแรงดึงดูดเชื่อว่า “ความคิดทรงอานุภาพมาก” กระบวนการสร้างแรงดึงดูดมีขั้นตอน คือ การแสดงเจตจำนงด้วยการร้องขอสิ่งดีงามต่อจักรวาล สร้างพลังแห่งความเชื่อ และความศรัทธาในการลงมือทำ และการยอมรับสิ่งดีงาม หรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยิ่ง ๆ ขึ้นปสู่ความสำเร็จ โดยให้มีการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งดีงาม คิดดี ทำดี มองบวก มุมมองความคิดด้านบวกนี้ จะเป็นพลังขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จได้[1]

แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น ชอบคิดไปในทางร้ายก่อนเสมอ มักคิดถึงสิ่งที่เราไม่ต้องการ สิ่งที่ไม่อยากเจอ สิ่งที่ไม่อยากได้ ซึ่งเป็นการมองโลกในแง่ลบ ทำให้จิตใจนั้นขาดพลังงานขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จ ฉะนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนจิตใจนี้ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจ หรือแรงผลักดันให้ก้าวสู่ความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจได้

“กฎแรงดึงดูด” มีหลักการที่ว่า สิ่งที่เหมือนกันจะถูกดึงดูดเข้าหากัน ขยายความได้ว่า สิ่งที่เหมือนกับสิ่งที่เราคิด ไม่ว่าจะเป็นชุดความคิดที่มีลักษณะเหมือน ๆ กัน เหตุการณ์ในทำนองเดียวกับความคิดของเรา จะถูกดึงดูดเข้ามาหาตัวเรา และเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในทุกเหตุการณ์ หลักการคิดที่จะมาซึ่งความสำเร็จดังใจ คือ เมื่อเราคิดถึงสิ่งที่เราต้องการ และตั้งใจจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ เท่ากับว่า เรากำลังเรียกหาสิ่งนั้นด้วยพลังอันแรงกล้าที่สุด กฎแรงดึงดูดจะมอบสิ่งที่เราต้องการให้ทุกครั้งไป หากเราป้อนความคิดที่อยากได้รถยนต์คนใหม่ป้ายแดง 1 คันเข้าไปในจิตใจ คิดซ้ำ ๆ บ่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยอารมณ์เข้มข้น จิตใตสำนึกจะสร้างพลังสั่นสะเทือนออกไปดึงดูดข้อมูล โอกาส ช่องทาง หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กักเก็บอยู่ในพลังที่ก่อกำเนิดสรรพสิ่งเพื่อชักนำให้เราได้รถมาในที่สุด

แต่ในทางกลับกัน หากมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการนินทา ตำหนิ หรือบ่น อาฆาตพยาบาทโกรธ เคียดแค้น หรือเฝ้าติดตามข้อมูลข่าวสารร้าย ๆ ที่ทำให้จิตใจหดหู่ ไม่แจ่มใสข้อมูลเหล่านี้เมื่อนำเข้าสู่จิตใจ จะมีการตกผลึกสู่จิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว จนบางครั้งเราคิดว่า ลืมเรื่องนั้นไปแล้ว แต่จิตใต้สำนึกนำไปดำเนินการต่อ โดยนำไปสร้างพลังดึงดูดเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน หรือใกล้เคียงให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นอีกครั้งหนึ่งกับเจ้าของข้อมูลนั้น

กระบวนการสู่ความสำเร็จตามกฎแรงดึงดูด ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ขั้นตอน คือ

1.การขอในสิ่งที่ตนปรารถนา

ขั้นแรกของวิธีการสู่ความสำเร็จ คือ “การร้องขอต่อจักรวาล” ต่อขุมพลังงานที่ก่อกำเนิดทุกสรรพสิ่ง เรียกร้องในสิ่งที่ตนเองปรารถนา โดยมีการเปรียบเปรยไว้กับนิทานเรื่องอาละดินกับตะเกียงวิเศษไว้ว่า จักรวาลนี้เปรียบเสมือนยักษ์จีนี่ ตัวเรา คือ อาละดินผู้ร้องขอต่อยักษ์ แต่จะพิเศษกว่าที่ว่า อาละดินสามารถร้องขอได้เพียงสามครั้ง แต่เราจะสามารถร้องขอต่อจักรวาลนี้ได้อย่างไม่จำกัด จักรวาลจะติดตามรับใช้เรา และไม่ตั้งคำถามต่อคำสั่งของเรา พร้อมหยิบยื่นทุกอย่างให้ตามที่เราขออย่างไม่มีเงื่อนไข

กฎแห่งแรงดึงดูดตอบสนองต่อความคิดซ้ำ ๆ ที่อยู่ในใจของเรา แม้การขอนั้นจะเป็นการขอที่จำเพราะเจาะจงมากเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็จะได้รับสิ่งนั้นอย่างแน่นอน เราสามารถนำไปใช้ได้รับทุกเรื่องที่ปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นรถคันใหม่ บ้านหลังใหม่ การงาน การเลื่อนตำแหน่ง การค้า การลงทุน ความรัก ความร่ำรวย โชคลาภ การศึกษา การสอบแข่งขัน หรือแม้กระทั่งปรารถนาสุขภาพที่ดี[i]

แต่สิ่งสำคัญของขั้นตอนนี้ คือ การตรึกนึกคิดที่ชัดเจน ความต้องการทั้งหลายต้องชัดเจนสำหรับตัวเราเอง ถ้าคิดไม่ชัดเจน กฎแห่งแรงดึงดูดก็ไม่สามารถนำสิ่งที่ต้องการมาให้ได้ เพราะว่า เรากำลังส่งคลื่นความถี่ที่ผสมปนเป และสิ่งที่ดึงดูดมาได้ก็จะเป็นสิ่งที่ผสมปนเป การขอนับเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการสร้างความสำเร็จ

2.การเชื่อมั่นว่าสำเร็จแล้ว

ขั้นตอนที่ 2 ของกระบวนการสร้างความสำเร็จตามกฎแรงดึงดูด คือ ความเชื่อว่า “ได้รับสิ่งที่ปรารถนาแล้ว” ในขณะนี้เรากำลังได้ครอบครองสิ่งนั้นอยู่ โดยให้มองว่า สิ่งที่เราต้องการเป็นของเราแล้ว รับรู้ว่า สิ่งนั้นจะมาหาเราในยามที่เราต้องการ อย่าคิดว่าตัวเองยังขาดสิ่งนั้น ให้คิดเสมอว่า สิ่งนั้นเป็นของเรา เราเป็นเจ้าของ และกำลังครอบครองมันอยู่

วิธีการ คือ ต้องทำ พูด และคิดราวกับว่า ได้รับสิ่งที่ต้องการอยู่ในขณะนี้ นั่นเป็นไปตามความเชื่อของกฎแรงดึงดูดที่ว่า หากเปรียบจักรวาลเป็นกระจกเงาบานหนึ่ง และกฎแห่งแรงดึงดูดจะสะท้อนความคิดหลักของเรากลับมา ซึ่งการคิดว่า เรากำลังได้รับสิ่งนั้น กฎแห่งแรงดึงดูดย่อมสะท้อนสิ่งที่คิดกลับมายังต้นทางคือ ผู้คิดได้ แต่ถ้าคิดแต่ว่า ยังขาดสิ่งนั้นสิ่งนี้ กฎแห่งแรงดึงดูดก็จะดึงดูดความขาดแคลนสิ่งนั้น ๆ ต่อไปอีก ซึ่งหมายความว่า จะไม่มีวันได้สมปรารถนา

ฉะนั้น จึงต้องเชื่อว่า ได้รับสิ่งนั้นแล้วออกไป เพื่อชักนำภาพเหล่านั้นกลับมาสู่ชีวิต เมื่อทำได้อย่างนี้แล้ว กฎแห่งแรงดึงดูดก็จะทำงานในการนำพาสภาพการณ์ ผู้คน และเหตุการณ์ต่าง ๆ มาให้ได้รับ

3.รู้สึกว่าได้รับสิ่งนั้นแล้ว

ขั้นที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการสร้าง นั่นก็คือ “การรับ” คือ เริ่มรู้สึกปลาบปลื้มยินดีแบบเดียวกับที่เรารู้สึกว่า สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ ในขั้นตอนนี้เงื่อนไขที่สำคัญที่สุด คือ ต้องรู้สึกดี ๆ และมีความสุข เพราะในขณะที่รู้สึกดีนั้น เรากำลังนำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในคลื่นความถี่เดียวกับที่เราต้องการ ซึ่งเป็นวิถีทางแห่งความสำเร็จตามกฎแห่งแรงดึงดูด

วิธีช่วยที่จะทำให้เราสามารถรู้สึกได้ว่า เราได้รับสิ่งที่ต้องการมาแล้ว คือ ต้องศึกษาหาข้อมูลในเรื่องนั้น ๆ อย่างจริงจัง หาทางเข้าไปสัมผัสกับประสบการณ์ในลักษณะคล้ายคลึงกับสิ่งที่เราต้องการ เพื่อให้เกิดความรู้สึกแนบแน่น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งที่ต้องการ อย่างเช่น อยากได้รถคันหนึ่ง ก็ให้ไปลองนั่งหรือไปสัมผัสดูกับของจริง อยากมีบ้านในฝันสักหลัง ก็ให้เปิดดูรูปบ้านบ่อย ๆ หรือลองเข้าไปในบ้านหลังนั้น หรือทำอะไรก็ได้ที่จะช่วยทำให้เกิดความรู้สึกว่า เรามีสิ่งนั้นอยู่ในขณะนี้ แล้วจดจำความรู้สึกนั้นไว้ อะไรก็ตามที่ทำได้เพื่อบรรลุในผลนั้น จะช่วยให้เราดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาหาจริง ๆ

เมื่อเรารู้สึกราวกับว่า เรามีสิ่งนั้นแล้วในขณะนี้ และความรู้สึกนั้นช่างเป็นจริงเหมือนักบเราได้รับสิ่งนั้นมาแล้ว เราเชื่อว่า เราได้รับ ในที่สุดเราจะได้รับมันจริงตามกฎแห่งแรงดึงดูด

จากหลักการของกฎแรงดึงดูดว่า สิ่งที่เหมือนกันจะถูกดึงดูดเข้าหากัน ขยายความได้ว่า ส่งที่เหมือนกับสิ่งที่เราคิด ไม่ว่าจะเป็นชุดความคิดที่มีลักษณะเหมือน ๆ กัน เหตุการณ์ในทำนองเดียวกับความคิดของเรา จะถูกดึงดูดเข้ามาหาตัวเรา และเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในทุกเหตุการณ์ กระบวนการสร้างกฎแรงดึงดูดที่ประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนสำคัญ คือ ขอในสิ่งที่ตนปรารถนา เชื่อว่า เราได้สิ่งของสิ่งนั้นมาแล้ว และรับรู้ถึงความรู้สึกของการได้ครอบครองอย่างเป็นสุข เป็นการคิดบวกเพียงด้านเดียว ไม่เผื่อใจยอมรับในสิ่งที่ไม่สมหวัง ฉะนั้นการจะประสบความสำเร็จตามกฎแรงดึงดูดจึงจำเป็นจะต้องปรับความคิดให้คิดแต่เรื่องที่ต้องการในด้านบวก ในเชิงสร้างกำลังใจ เพื่อที่จะให้กฎแรงดึงดูดได้ทำงาน ดึงดูดสิ่งที่ต้องการเข้ามา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คนส่วนใหญ่ชอบคิดถึงสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ และนั่นเป็นเหตุที่ทำให้ตนเองต้องวนมาเจอกับสิ่งนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า กฎแรงดึงดูดไม่คำนึงว่า เราจะมองอะไรดีหรือร้ายอย่างไร ไม่สนว่า เราจะต้องการหรือไม่ต้องการสิ่งนั้น กฎนี้จะมีปฏิกิริยาตอบสนองความคิดของเราเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเรากำลังกลุ้มใจเรื่องหนี้สินท่วมท้น นั่นคือ เรากำลังกระจายสัญญาณออกไป เรากำลังยืนยันสิ่งนี้ให้กับตนเอง และเป็นสิ่งที่เราจะได้รับเพิ่มเข้ามา กฎแรงดึงดูดเป็นกฎธรรมชาติ ไม่จำเพราะเจาะจงตัวบุคคล ไม่จำแนกดีชั่ว หากจะรับความคิดของเรา และสะท้อนความคิดนั้นกลับมาในรูปแบบของประสบการณ์ชีวิต กฎแรงดึงดูดเพียงแค่มอบสิ่งที่เราคิด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร[ii]

แอดมินได้เล่าเรื่องที่เป็นประสบการณ์โดยตรงและได้เล่าเรื่องของเพื่อนที่มีพลังแรงดึงดูดมาตั้งแต่คนเล่าเรื่องเป็นเด็กซึ่งเป็นประสบการณ์จริงของผู้เล่า ท่านผู้อ่านเข้าไปอ่านเรื่อง ชวนคิดใหม่เปลี่ยนพลังในตัวเองเพื่อแก้ปัญหาความทุกข์ เศร้า เครียด วิตกกังวล เงินไม่พอใช้ หนี้สิน แฟนทิ้ง ที่หาทางออกไม่ได้ ในเรื่องนี้ จะเป็นลักษณะของการเล่าเรื่องโดยตรง ทั้งนี้ ขอขอบคุณท่านผู้ที่ได้ผ่านเข้ามาอ่านเรื่องราวต่าง ๆ ในเว็บนี้ ขอให้ทุกท่านประสบพบเจอแต่สิ่งที่ดี ๆ มีความสุขในทุกช่วงเวลาของการดำเนินชีวิต


[1] รอนดา เบิร์น. (2560). เดอะซีเคร็ต. (พิมพ์ครั้งที่ 100), กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์อมรินทร์.


[i] สม สุจีรา. (2556). เดอะท็อปพาวเวอร์ พลังจิตใจสำนึก พลังสู่ความสำเร็จ. (พิมพ์ครั้งที่ 4), กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์ธรรมะ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.

[ii] วิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์. (2553). Law of Attraction พลังเนรมิต. (พิมพ์ครั้งที่ 14), กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์นานาสวิท บริษัท นานา สวีท จำกัด.

ขอขอบคุณภาพจาก https://www.freepik.com/author/bedneyimages

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *