ความรักกับบำเหน็จทางสังคม หายนภัยที่ต้องเฝ้าระวัง

“บำเหน็จ” หมายถึง ปัจจัยทางสังคมทั้งที่เป็นตัวบุคคล สื่อและค่านิยมเรื่องความรักและเรื่องเพศที่ผิด ๆ ที่เป็นผลมาจากการสร้างและถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งซึ่งนับวันจะมีความรุนแรงมากขึ้น

ความรักได้กลายมาเป็นปัญหาสังคมที่หลายฝ่ายได้หยิบยกขึ้นมาพูด โดยเฉพาะความรักในวัยใสที่นับวันจะมีความรุนแรงมากขึ้น เช่น ปัญหาเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน การแลกคู่นอน และปัญหาอื่น ๆ ที่ตามมาจากปัญหาข้างต้น เช่น การทำแท้ง เด็กกำพร้า เด็กเร่ร่อนที่เกิดจากปัญหาครอบครัวแตกแยก เป็นต้น ที่สำคัญก็คือ ค่านิยมในเรื่องของความรักที่ผิด ๆ ได้ถูกปลูกฝังและถ่ายทอดกันอย่างแพร่หลาย ประกอบกับทุกสังคมมีสิ่งที่คอยกระตุ้นในเรื่องเพศมากมาย เช่น สื่อลามกอนาจาร แหล่งอบายมุขต่าง ๆ เป็นต้น ส่งผลให้เกิดการเลียนแบบค่านิยมทางเพศอย่างผิด ๆ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นบำเหน็จที่คนในสังคมหยิบยื่นให้แก่กัน โดยเฉพาะเรื่องต่อไปนี้

1. สื่อต่าง ๆ

สื่อต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ ละครทีวี รวมถึงสื่อโฆษณาที่นิยมนำดารา นายแบบ นางแบบ วัยรุ่นมาเป็นพระเอก นางเอกจับคู่กันในละครทีวี และสื่อโฆษณาสินค้าต่าง ๆ ทำให้เกิดการเลียนแบบของเยาวชน เพื่อให้เห็นความจริงในเรื่องนี้ ขอยกสื่อที่เป็นมูลเหตุนำไปสู่ค่านิยมเรื่องเพศไว้เป็นกรณีศึกษา 2 ประเภท คือ

  1. อินเทอร์เน็ตที่บริการให้โหลดภาพลามกอนาจาร ส่งผลให้เด็กวัยรุ่นสร้างค่านิยมโหลดภาพลามกอนาจารกันอย่างกว้างขวางที่น่ากลัวมากที่สุด คือ ภาพวิดีโอร่วมเพศหลากหลายท่าทางที่เรียกว่า “กามสูตร” โดยมีการโหลดภาพ วิดีโอ เหล่านี้มาจากเว็บไซต์และส่งให้กันเป็นทอด ๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นสาเหตุให้เยาวชนบางส่วนที่ขาดวิจารณญาณหมกมุ่นในเรื่องเพศและแสดงความรักต่อกันอย่างไม่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีเว็บไซต์ที่แพร่ภาพลามกอนาจารทำนองนี้อีกมากมาย จัดเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากสื่อประเภทนี้จะทำให้เยาวชนได้แบบอย่างในการสร้างความรักประเภทอกุศลขึ้นมา
  2. หนังสือพิมพ์ที่แพร่ภาพและลงข่าวการกระทำที่ไม่สร้างสรรค์เกี่ยวกับเพศ เช่น เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2548 มีหนังสือพิมพ์ได้นำเสนอภาพข่าวที่บริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศฟิลิปปินส์ได้จัดกิจกรรม “โลวาปาลูซา” หรือการจุมพิตหมู่ เพื่อฉลองวันแห่งความรัก สื่อมวลชนไม่ควรนำกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวมาเผยแพร่ เพราะไม่ใช่กิจกรรมที่สร้างสรรค์ ก่อให้เกิดความดีงามหรือประเทืองสติปัญญาของคนในสังคม แต่เป็นเรื่องที่จะนำไปสู่การเลียนแบบและทำลายวัฒนธรรมอันล้ำค่าของบรรพบุรุษไทย และก่อให้เกิดกระแสค่านิยมแบบมิจฉาทิฐิที่ว่า “ใครไม่ทำถือว่า เชย ไม่ทันยุคทันสมัย” ไปในที่สุด

2. ค่านิยมที่ผิด ๆ จากรุ่นพี่

ค่านิยมที่ผิด ๆ จากรุ่นพี่ ดังจะเห็นจากงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า รุ่นพี่บางคนตามสถาบันต่าง ๆ ได้สร้างค่านิยมเรื่องเพศให้แก่รุ่นน้องอย่างผิด ๆ ไว้หลายเรื่อง เช่น การล่าคู่นอน ใครทำได้มากที่สุด ถือว่า เป็นผู้ที่เก่ง ใครไม่มีแฟน ในขณะที่เรียนจะถูกมองว่า เชย การรับน้องด้วยการพาไปขึ้นครู เป็นต้น

3. ตัวแบบที่เยาวชนชื่นชอบ

ตัวแบบที่เยาวชนชื่นชอบ ส่วนใหญ่มักเป็นดารา นักร้องที่ได้รับความนิยม ถือว่า เป็นแรงจูงใจสำคัญยิ่งที่ทำให้คนในสังคมจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะเยาวชนเลียนแบบในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแต่งกาย ท่าทางของการแสดงออก รวมไปถึงเรื่องการเลือกคู่ การแสดงออกทางเพศ ซึ่งเราจะเห็นว่า ดารา นักร้อง มักจะตกเป็นข่าวเรื่องความรักมากกว่าบุคคลกลุ่มอื่น และมักจะออกมาในทำนองที่ว่า ดาราคนนั้น เป็นแฟนคนนี้ บางครั้งคนในสังคม ก็จับคู่รักให้กับดารา นักร้องที่ตนชื่นชอบ โดยสรุปก็คือ ไม่ว่า ดารา นักร้องจะมีแฟน แต่งงาน เลิกหรือหย่าร้างกันก็มักจะเป็นข่าวใหญ่โต บางเรื่องก็ดูน่ากลัว ตัวอย่างเช่น นางแบบคนหนึ่งแสดงภาพยนตร์ลามก แต่กลับได้รับการชื่นชอบเห็นอกเห็นใจจากคนในสังคมบางส่วน ที่สำคัญก็คือ ตัวนางแบบคนดังกล่าว กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีเงินใช้อย่างสบาย เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องหนึ่งที่สร้างค่านิยมใหม่แก่หญิงสาวบางส่วนที่คิดจะเอาแบบอย่างได้ในที่สุด

4. ค่านิยมเกี่ยวกับวันแห่งความรัก

ค่านิยมเกี่ยวกับวันแห่งความรัก คือ วันวาเลนไทน์ ก่อให้เกิดค่านิยมที่ผิด ๆ ในหลายเรื่อง เป็นการแสดงความรักในวันวาเลนไทน์ที่ผิดเพี้ยนไปจากประวัติความเป็นมาและสาระสำคัญของวันนี้เป็นอย่างมาก กลายเป็นความบ้าคลั่งในความรักประเภทอกุศลมากกว่าเป็นการทุ่มเทให้แก่ความรักที่เป็นกุศล ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า วันนี้เป็นวันที่ชาวคริสต์ระลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญท่านหนึ่ง ชื่อ “วาเลนไทน์” บางแห่งเรียกว่า “เวเลนตินุส” ที่ถูกประหารชีวิตในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้าคลอดิอุสที่สั่งห้ามท่านแต่งงานให้กับหนุ่มสาว

จากประวัติความเป็นมาของวันวาเลนไทน์ชี้ให้เห็นถึงความรักที่เราจะต้องพิจารณาและทำความเข้าใจในประเด็นหลัก คือ ความรักเพื่อนมนุษย์ ตรงกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาข้อว่า “เมตตา” จัดเป็นคำสอนขั้นพื้นฐานของศาสนาคริสต์ที่มุ่งให้มนุษย์รักกันฉันพี่น้อง เนื่องจาก มนุษย์ถูกสร้างมาจากพระผู้เป็นเจ้า และมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันคือ อาดัมกับอีวา ด้วยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เหมือนอย่างนับบุญวาเลนตินุสได้ทำไว้ตามแนวทางของพระผู้เป็นเจ้าที่พระบุตร คือ พระเยซูได้ทรงทำไว้เป็นตัวอย่าง

จากประเด็นของความรักข้างต้น ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความรักที่คนทั่วโลกให้ค่านิยมกันมากที่สุด ได้แก่ ค่านิยมเกี่ยวกับความรักฉันชู้สาว ถ้าพิจารณาให้ถี่ถ้วนก็เห็นว่า เกินเลยขอบเขตไปจากสาระสำคัญของวันวาเลนไทน์อย่างมาก เนื่องจาก มีการสร้างค่านิยมที่เป็นปัญหาอยู่หลายประการ ซึ่งอาจกล่าวสรุปได้ในเรื่องต่อไปนี้

1. การให้สิ่งของแก่กัน

โดยส่วนใหญ่จะมอบดอกกุหลาบสีแดง ความจริงเป็นเรื่องที่ดีแต่ที่เห็นว่า สร้างค่านิยมแห่งความฟุ้งเฟ้อให้แก่สังคมมากเกินไป กรณีเช่น บริษัท มิสลิลี่ จำกัด ได้จัดทำดอกกุหลาบช่อพิเศษขึ้น 108 ดอก เพื่อให้สื่อความหมายว่า “คุณจะแต่งงานกับฉันไหม” จำหน่ายในราคาดอกละ 32,999 บาท กุหลาบช่อพิเศษใช้สื่อความหมายว่า “ฉันรักเธอจนวันตาย” จำหน่ายในราคาดอกละ 29,999 บาท และอีก 36 ดอก ใช้สื่อความหมายว่า “ฉันยังจำความหลังอันแสนหวานได้” จำหน่ายในราคาดอกละ 10,999 บาท รวมทั้งยังให้บริการส่งกุหลาบถึงที่แต่ลูกค้าต้องสั่งซื้ออย่างน้อย 5 ดอก โดยคิดราคาดอกละ 300 บาท ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นถึงค่านิยมเกี่ยวกับความรักที่ทำให้คนฟุ้งเฟ้อไปตามค่านิยมของสังคมมากเกินไป

2. การพลีกายให้กับหญิงหรือชายคนรัก

การพลีกายให้หญิงหรือชายคนรัก เป็นการสร้างค่านิยมที่ผิดอีกประการหนึ่ง ความจริงเรื่องพรหมจรรย์ หรือพรหมจารีถือว่า เป็นศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายและลูกผู้หญิง เห็นได้จากสุภาษิตไทยโบราณที่ใช้พร่ำสอนลูกหลานไทยมานมนาน เช่น “อย่าชิงสุกก่อนห่าม” “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” เป็นต้น การพลีกายให้กับชายหรือหญิงคนรักอย่างไม่ถูกต้องก็เท่ากับเป็นการไม่รักศักดิ์ศรีของตนนั่นเอง ค่านิยมเรื่องนี้ ศึกษาได้จากผลการสำรวจของเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญที่ได้ทำการสำรวจหนุ่มสาว โดยเฉพาะเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี พบว่า มีสถิติการมีเพศสัมพันธ์กันในวันวาเลนไทน์มากกว่าในเทศกาลอื่นจึงทำให้มีการบัญญัติวันนี้ว่า “วันเสียตัวแห่งชาติ”

3. ผู้ใหญ่ในสังคมมีส่วนช่วยปลุกกระแสค่านิยมเรื่อง “ราคะ ตัณหา” เกี่ยวกับทางเพศ ให้แก่คนในสังคม

ผู้ใหญ่ในสังคมมีส่วนช่วยปลุกกระแสค่านิยมเรื่อง “ราคะ ตัณหา” เกี่ยวกับทางเพศ ให้แก่คนในสังคม ตัวอย่างเช่น นายวรพจน์ อินทลักษณ์ เปิดเผยผ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ว่า เขตบางรักจัดงานใหญ่ในการจดทะเบียนให้แก่หนุ่มสาว ผู้ที่จดทะเบียนสมรสคู่แรกจะได้รับใบทะเบียนสมรสทองคำไว้เป็นที่ระลึก ถ้าพิจารณาในแง่หนึ่งก็ดูเหมือนว่า เป็นการดีด้วยซ้ำที่ทำให้หญิงชายใช้ชีวิตคู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่งก็เป็นการสร้างค่านิยมเรื่องของเพศว่าวันนี้เป็นวันที่ชายหญิงพร้อมที่จะเสียตัวให้แก่กัน นอกจากนี้ ยังมีการจัดงานในลักษณะนี้ในหลายท้องที่ บางสถานที่มีการจัดกิจกรรมพิเศษ เช่น การแข่งขันการกอดแบบมาราธอนของคู่รัก ใครกอดกันได้นานที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะ เป็นต้น จัดเป็นค่านิยมที่ล้วนกระตุ้นให้เกิดการเลียนแบบของการแสดงความรักต่อกันอย่างผิด ๆ ได้

4. ผู้ฉกฉวยโอกาสจากวันแห่งความรัก

ผู้ฉกฉวยโอกาสจากวันแห่งความรัก ซึ่งก็มีอยู่หลายกลุ่มที่คอยจ้องหาผลประโยชน์จากวันนี้ และเป็นผู้ที่สนับสนุนให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์กัน เช่น ผู้ประกอบการโรงแรมม่านรูดหลายแห่งพากันลดราคาค่าบริการ บางแห่งแจกถุงยางอนามัยให้แก่ผู้เข้าไปใช้บริการเป็นของแถมด้วย แถมมีการโฆษณาว่าจะไม่มีการแอบถ่ายเพื่อให้ลูกค้าวัยรุ่นที่เข้าไปใช้บริการเกิดความมั่นใจ

จากประเด็นเนื้อหาที่กล่าวมานี้ จะเห็นถึงปัจจัยคุกคามทางสังคม “บำเหน็จทางสังคม” ที่คนในสังคมป้อนให้แก่กัน ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงภาวะทางจิตวิญญาณของคนในสังคมไทยประการหนึ่งที่พระพุทธศาสนามองว่าเป็น “มิจฉาทิฐิ” ดังข้อสรุปที่ชี้ให้เห็นถึงปมสำคัญของเรื่องเซ็กซ์ไว้ว่า “ค่านิยมที่เด็กสมัยนี้ไม่รู้สึกว่า ผิดกับการเริ่มมีเซ็กซ์ ในวัยรุ่น สะท้อนให้เห็นถึงสังคมผิดปกติในเรื่องการอบรมเลี้ยงดูที่สังคมไทย หลงลืมสอนเรื่องการรักนวลสงวนตัวไปเสียแล้ว” จากคำกล่าวนี้ บ่งชี้ถึงมิจฉาทิฐิที่เป็นตัวการสำคัญของการสร้างค่านิยมเรื่องคามรักและการมีเพศสัมพันธ์อย่างผิด ๆ และนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น การทำแท้ง เด็กถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่ที่ไม่มีความพร้อมหรือไม่ยอมรับผิดชอบ โรคเอดส์ เป็นต้น ดังนั้น การที่จะแก้ไขปัญหานี้ให้สำเร็จด้วยดีนั้น จำเป็นต้องหาวิธีการทำให้จิตวิญญาณของคนได้รับการพัฒนาด้วยปัญญา โดยเฉพาะผู้ใหญ่ ได้แก่ ผู้ปกครองที่จะต้องเป็นตัวแบบทางเพศที่ดีให้แก่ลูก และสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสมแก่ลูกได้ โดยเฉพาะเรื่องการรักนวลสงวนตัวของลูกผู้หญิง และการรู้จักให้เกียรติสุภาพสตรีของลูกผู้ชาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *